คลินิกรักษาสิว โดยแพทย์โรคผิวหนังโดยเฉพาะ
สิวสเตียรอยด์ คืออะไร เป็นวนลูปไม่จบสิ้น ทำยังไงถึงจะหาย?
การใช้ยาสเตียรอยด์สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบและปัญหาผิวหนังหลายประการได้อย่างรวดเร็ว จึงมักมีการนำไปผสมกับครีมมากมาย เพราะให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นสาเหตุของปัญหาผิวใหม่ที่เรียกว่า “สิวสเตียรอยด์” สิวสเตียรอยด์เป็นปัญหาที่น่าหนักใจสำหรับหลายๆ คน เนื่องจากทำให้ผิวหนังเกิดสิวหัวหนอง สิวอักเสบ และตุ่มแดงที่ทำให้ไม่มั่นใจในตัวเอง การรักษาสิวสเตียรอยด์จึงเป็นเรื่องที่ต้องการความรู้และการดูแลอย่างถูกวิธี เพื่อให้ผิวกลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง
ในบทความนี้ เราจะสำรวจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวสเตียรอยด์ วิธีการป้องกันและรักษา รวมถึงเคล็ดลับในการดูแลผิวเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ให้คุณได้รู้จักและเข้าใจถึงสิวสเตียรอยด์มากขึ้น พร้อมแนวทางในการดูแลผิวที่ถูกต้องและปลอดภัย
สิวสเตียรอยด์ คืออะไร ?
สิวสเตียรอยด์ หรือ (Steroid acne) คือ โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากการใช้สารสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทั้งในรูปแบบ corticosteroids, anabolic steroids, และสเตียรอยด์แบบทา (Topical steroids) ส่งผลให้ผิวเกิดการอักเสบและเกิดผื่นคล้ายสิว (Acneiform eruption) แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่สิว
โดยลักษณะของสิวสเตียรอยด์จะเป็นตุ่มนูนที่มีน้ำหรือหนองอยู่ภายใน คล้ายตุ่มสิวหัวหนองหรือสิวอักเสบ สามารถขึ้นได้ทั้งทีละเม็ด ๆ หรือก็สามารถขึ้นทีละเยอะ ๆ ทีเดียวได้ แต่ตุ่มทุกอันจะมีลักษณะที่เหมือน ๆ กัน ตุ่มเหล่านี้เกิดจากการอักเสบของรูขุมขนที่หลั่งของเสียออกมาผสมกับน้ำมันบนผิว แตกต่างจากสิวอุดตันที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนโดยตรง
สิวสเตียรอยด์ เกิดจากสาเหตุอะไร ?
สิวสเตียรอยด์เกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์ที่ไม่เหมาะสมหรือใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ยาสเตียรอยด์ที่ถูกใช้เพื่อรักษาอาการอักเสบและโรคผิวหนังต่าง ๆ สามารถกระตุ้นการเกิดสิวได้หากใช้ไม่ถูกวิธี โดยปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดสิวสเตียรอยด์มีดังนี้
- การใช้ยาสเตียรอยด์ในรูปแบบยาฉีดหรือรับประทาน
การรับประทานยาสเตียรอยด์ในระยะยาวส่งผลให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง โดยกระตุ้นให้ร่างกายตรวจจับและตอบสนองต่อเชื้อโรคอย่างรวดเร็ว และกระตุ้นการอักเสบของผิวตามมา ทำให้เกิดสิวสเตียรอยด์
- การใช้ยาสเตียรอยด์ในรูปแบบยาทา
การทายาสเตียรอยด์โดยตรงบนผิวหนังเป็นเวลานาน ๆ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานลดลง ส่งผลให้หลอดเลือดและภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ จนเกิดเป็นโรคผิวหนังอักเสบ Steroid Rosacea ตามมา
- การใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ เช่น เครื่องสำอาง, โลชั่น หรือสกินแคร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อใช้ไปนาน ๆ ผิวจะบางลงและทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย เกิดเป็นสิวสเตียรอยด์ตามมา
- การใช้ยารักษาสิวที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
ยารักษาสิวบางชนิดมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งสามารถช่วยลดสิวที่มีอาการรุนแรงได้ โดยแพทย์จะเป็นผู้สั่งยาและกำหนดวิธีการใช้รวมถึงระยะเวลา หากใช้ยาเกินกำหนดหรือมากเกินไป อาจทำให้ผิวติดสารสเตียรอยด์และเกิดสิวสเตียรอยด์ขึ้นมาได้ ดังนั้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และหากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาต่อไป
อาการของสิวสเตียรอยด์ มีอาการอย่างไร ?
สิวสเตียรอยด์ มีอาการคล้ายกับโรคผิวหนังอักเสบ โดยมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำพอง, ตุ่มหนอง, ผดผื่น, รูขุมขนอักเสบ ที่อาจขึ้นพร้อมกันทีเดียวหรือขึ้นทีละนิดก็ได้ แต่ทุกตุ่มจะมีลักษณะเดียวกัน หรืออาจเป็นผื่นแดงเป็นปื้น และรู้สึกแสบร้อนที่ผิวหรือคันผิวได้ บางครั้งอาจเห็นเส้นเลือดฝอยใต้ชั้นผิวได้
สิวสเตียรอยด์สามารถมีหลายชนิด ตั้งแต่สิวไม่รุนแรง เช่น สิวอุดตัน สิวหัวขาว สิวหัวดำ จนถึงสิวอักเสบและสิวหัวช้าง เพราะสภาพผิวอ่อนแอ ทำให้รับสิ่งสกปรกได้ง่ายกว่าปกติ สิวสเตียรอยด์สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณใบหน้า หน้าอก และหลัง โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการใช้สเตียรอยด์
วิธีรักษาสิวสเตียรอยด์มีอะไรบ้าง ?
การรักษาสิวสเตียรอยด์ต้องใช้วิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ผิวกลับมาสุขภาพดี โดยควรเริ่มต้นจากการหยุดใช้ยาและครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ก่อน และการรักษาสิวสเตียรอยด์มีหลายวิธีตั้งแต่รักษาด้วยตนเอง หากอาการไม่รุนแรงมาก หรือหากมีอาการรุนแรงมาก ควรต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง ดังนี้
- รักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยวิธีธรรมชาติ
หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น เลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายผิวหน้า เช่น ลอกหน้า ขัดหน้า หรือเผชิญแสงแดดโดยตรง
- ยาทาเฉพาะที่รักษาสิวสเตียรอยด์
ยาทาเฉพาะที่เป็นทางเลือกที่ดีในการรักษาสิวสเตียรอยด์ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวทั่วไป เช่น ยาเรตินอยด์ (Retinoids), ยาเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังมียาปฏิชีวนะชนิดทาที่ช่วยลดการติดเชื้อและอักเสบ
- ยารับประทานรักษาสิวสเตียรอยด์
สำหรับสิวที่มีความรุนแรงมากขึ้น การใช้ยารับประทานอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ยาปฏิชีวนะเช่น ดอกซีไซคลิน (Doxycycline), มิโนไซคลิน (Minocycline) หรือยาฆ่าเชื้อเตตราไซคลิน (Tetracycline) เพื่อช่วยลดการติดเชื้อและการอักเสบได้ นอกจากนี้ยังมียาเรตินอยด์ (Retinoids) ชนิดรับประทานที่ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่
- รักษาสิวสเตียรอยด์กับแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง
การปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการรักษาสิวสเตียรอยด์ แพทย์สามารถวินิจฉัยและให้คำแนะนำที่เหมาะสมตามสภาพผิวของผู้ป่วย ซึ่งอาจรวมถึงการใช้เลเซอร์รักษาสิว หรือการรักษาด้วยแสง (Phototherapy) ที่ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
การรักษาสิวสเตียรอยด์ควรได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากคุณมีปัญหาสิวสเตียรอยด์ที่รักษายาก สามารถปรึกษาคลินิกลลิษา ที่มีทีมแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง และเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้ผิวของคุณกลับมาเนียนใสและสุขภาพดีอีกครั้ง และไม่ให้สิวกลับมาอีกในอนาคต
บริเวณที่มักจะเกิดสิวสเตียรอยด์
สิวจากสเตียรอยด์สามารถเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณในร่างกาย โดยมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีการใช้ยาสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องหรือในบริเวณที่มีการสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์เป็นประจำ ส่วนการใช้สเตียรอยด์แบบภายในร่างกาย เช่น การฉีดหรือทาน ก็สามารถเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ทำให้เกิดการอักเสบของรูขุมขนและผิวหนัง และปรากฏในหลายบริเวณของร่างกาย โดยบริเวณที่มักพบบ่อยได้แก่
- สิวสเตียรอยด์ที่ใบหน้า
ใบหน้าเป็นบริเวณที่มีรูขุมขนหนาแน่นและไวต่อการกระตุ้นจากสเตียรอยด์ สิวสเตียรอยด์จะปรากฏในรูปแบบของผื่นแดง ตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง หรือสิวอักเสบขนาดใหญ่ บริเวณที่พบบ่อยคือ หน้าผาก จมูก แก้ม และคาง เนื่องจากบริเวณเหล่านี้มีต่อมไขมันมากและมักสัมผัสกับยาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีสเตียรอยด์
- สิวสเตียรอยด์ที่หลัง
ผิวหนังบริเวณหลังมีรูขุมขนมาก และมีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบได้ง่าย เมื่อใช้สเตียรอยด์มากเกินไป สิวสเตียรอยด์จะปรากฏเป็นตุ่มนูนแดงหรือตุ่มหนองในบริเวณนี้
- สิวสเตียรอยด์ที่ตัว
ไม่ว่าจะเป็นหน้าอก แขน หรือขา การใช้สเตียรอยด์ทั้งแบบทาและแบบรับประทานสามารถทำให้เกิดสิวสเตียรอยด์ในบริเวณเหล่านี้ได้ ผิวหนังในบริเวณที่สัมผัสกับสเตียรอยด์จะเกิดการอักเสบและมีตุ่มสิวขึ้นมา
สิวสเตียรอยด์เป็นลักษณะอย่างไร ? แตกต่างกับสิวทั่วไปไหม
สิวสเตียรอยด์และสิวทั่วไปมีความแตกต่างกันในหลายด้าน โดยสาเหตุของสิวสเตียรอยด์มักเกิดจากการใช้สเตียรอยด์เกินขนาดหรือเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของยาทา ยาฉีด หรือยารับประทาน สเตียรอยด์มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบ ในขณะที่สิวทั่วไปเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การอุดตันของรูขุมขน, น้ำมันส่วนเกิน, แบคทีเรีย P.acnes หรือ C.acnes และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ลักษณะของสิวสเตียรอยด์จะเป็นตุ่มน้ำหรือตุ่มหนองขนาดเล็ก ผิวหนังรอบ ๆ มักมีผื่นแดงเป็นปื้น และมีอาการแสบร้อนหรือคัน ผิวอาจมีลักษณะบางและเห็นเส้นเลือดฝอยชัดเจน บริเวณที่พบบ่อยคือ ใบหน้า หลัง และหน้าอก ส่วนสิวทั่วไปมักมีทั้งสิวหัวดำและสิวหัวขาว รวมถึงสิวตุ่มนูนแดง, สิวหัวหนอง และสิวอักเสบรุนแรง ซึ่งมักปรากฏในบริเวณที่มีการผลิตน้ำมันมาก เช่น ใบหน้า หน้าอก และหลัง สิวทั่วไปอาจมีอาการบวมแดงและเจ็บ
ผลกระทบของสิวสเตียรอยด์ต่อผิว มีอะไรบ้าง ?
สิวสเตียรอยด์มีผลกระทบต่อผิวในหลายด้าน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
- การอักเสบและการระคายเคือง
- ผิวบางและอ่อนแอ
- การเกิดรอยแผลเป็นและรอยดำ
- การติดเชื้อและการอักเสบซ้ำ
- ความไวต่อสารเคมี
- การสูญเสียความชุ่มชื้น
- การเปลี่ยนแปลงสีผิว
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวสเตียรอยด์กับตัวเอง
สิวสเตียรอยด์เกิดจากการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและเกิดสิวขึ้นได้ การป้องกันสิวสเตียรอยด์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาผิวพรรณให้สุขภาพดีและหลีกเลี่ยงปัญหาผิวที่ไม่พึงประสงค์ การป้องกันสามารถทำได้ดังนี้
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างระมัดระวัง
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ปราศจากสเตียรอยด์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองและการอุดตันของรูขุมขน ควรอ่านฉลากผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากแพทย์ผิวหนัง หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
หากจำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์เพื่อรักษาโรคผิวหนังหรืออาการอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการใช้ยาอย่างถูกต้องและปลอดภัย แพทย์สามารถแนะนำปริมาณการใช้และระยะเวลาที่เหมาะสมในการใช้ยาสเตียรอยด์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดสิวสเตียรอยด์
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่อง
การใช้ยาสเตียรอยด์ควรเป็นการใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ หากใช้ยาในระยะยาว ควรมีการตรวจสอบและติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง
- รักษาความสะอาดของผิว
การรักษาความสะอาดของผิวหน้าและร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการสะสมของน้ำมันและสิ่งสกปรกที่อาจทำให้เกิดสิว ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวสเตียรอยด์
สิวสเตียรอยด์ รักษานานไหม กี่เดือนถึงจะหาย ?
ระยะเวลาที่สิวสเตียรอยด์จะหายขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของสิว, การตอบสนองต่อการรักษา และการดูแลผิวของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วหากได้รับการรักษาและดูแลผิวอย่างถูกต้อง ภายใต้การแนะนำของแพทย์ผิวหนัง สิวสเตียรอยด์สามารถเริ่มดีขึ้นภายใน 1-2 เดือน แต่ในบางกรณีที่สิวรุนแรงมากขึ้นอาจต้องใช้เวลานานถึง 3-6 เดือน หรือมากกว่านั้น
การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การหยุดใช้สเตียรอยด์อย่างทันทีทันใด การใช้ยารักษาสิวที่เหมาะสม และการดูแลผิวที่ดี จะช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูและทำให้สิวหายได้เร็วขึ้น หากมีความกังวลเกี่ยวกับสิวสเตียรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
สิวสเตียรอยด์ หายเองได้ไหม ?
สิวสเตียรอยด์สามารถหายเองได้ในบางกรณี โดยเฉพาะถ้าอาการไม่รุนแรง เช่น มีผดผื่นหรือสิวขึ้นเล็กน้อยในบริเวณที่ใช้สเตียรอยด์ การหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสเตียรอยด์และดูแลผิวอย่างถูกต้องสามารถช่วยให้สิวสเตียรอยด์หายไปเองได้ อย่างไรก็ตามอาจใช้เวลาหลายเดือน และต้องอาศัยการดูแลผิวที่ดี เช่น การล้างหน้าให้สะอาดและใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน
หากสิวสเตียรอยด์มีอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น โอกาสหายเองยากมาก ๆ แนะนำควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม แพทย์จะสามารถแนะนำวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพและช่วยป้องกันไม่ให้ปัญหาผิวลุกลาม
รักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยตัวเองได้ไหม ?
การรักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยตัวเอง สามารถทำได้ได้ในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อสิวมีอาการไม่รุนแรง เช่น ผดผื่นหรือสิวขึ้นเล็กน้อยในบริเวณที่ใช้สเตียรอยด์ เมื่อหยุดยาและดูแลรักษาผิวด้วยตัวเองอย่างถูกต้อง ก็สามารถหายเองได้
แต่หากสิวสเตียรอยด์มีอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นภายในระยะเวลาหนึ่ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม แพทย์สามารถให้คำแนะนำเพิ่มเติมและยาที่จำเป็นในการรักษาเพื่อให้ผิวฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
สรุป
สิวสเตียรอยด์เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์อย่างไม่เหมาะสม โดยสามารถทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ ระคายเคือง และสิวเพิ่มขึ้นได้ การรักษาสิวสเตียรอยด์ต้องการความระมัดระวังและการดูแลที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่และฟื้นฟูผิวให้กลับมาสุขภาพดี การป้องกันสิวสเตียรอยด์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เริ่มต้นจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการใช้สเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น และปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา
หากเกิดปัญหาสิวสเตียรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และการดูแลผิวอย่างถูกวิธี จะช่วยให้สิวสเตียรอยด์หายและป้องกันไม่ให้กลับมาอีกในอนาคต สุขภาพผิวที่ดีเริ่มต้นจากการดูแลและป้องกันอย่างถูกวิธี และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิวสเตียรอยด์จะช่วยให้คุณดูแลผิวของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลสิวสเตียรอยด์
Clare Morrison. June 2014. Steroid acne
https://dermnetnz.org/topics/steroid-acne
Marjorie Hecht. September 18, 2018. Steroid Acne: Causes and Treatment
https://www.healthline.com/health/steroid-acne
onald E. Greydanus MD, DrHC (Athens), … Dilip R. Patel MD, MBA, MPH, in Disease-a-Month, 2021
https://www.sciencedirect.com/topics/medicine-and-dentistry/steroid-acne
H J Yu , S K Lee, S J Son, Y S Kim, H Y Yang, J H Kim.Steroid acne vs. Pityrosporum folliculitis: the incidence of Pityrosporum ovale and the effect of antifungal drugs in steroid acne – PubMed
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/9802688/
บทความโดย
ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว
ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ที่ตั้งคลินิก เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 9 (ติดบันไดเลื่อน)