คลินิกรักษาสิว โดยแพทย์โรคผิวหนังโดยเฉพาะ
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา คืออะไร? อาการ สาเหตุ วิธีรักษา

โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ป่วยหลายคน ไม่ว่าจะเป็นอาการคัน แดง หรือผื่นที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง แต่ใครหลาย ๆ คนก็มักมองข้ามหรือคิดไม่ถึงว่าเป็นโรคนี้ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาการอาจลุกลามหรือกลับมาเป็นซ้ำได้อีกบ่อยครั้ง
ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุ อาการ และวิธีการป้องกันโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา เพื่อให้คุณสามารถดูแลตัวเองและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รู้จัก ! โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา

โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา หรือที่เรียกว่า Dermatophytosis เป็นการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อรากลุ่มเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophytes) ซึ่งเป็นเชื้อราที่เติบโตบนผิวหนัง เส้นผม และเล็บ และเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่มีความชื้นและความอับชื้น เช่น ขาหนีบ รักแร้ และซอกนิ้วเท้า ทำให้เกิดการอักเสบ แดง คัน หรือเกิดผื่นเป็นวงกลมคล้ายวงแหวน
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราสามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังที่ติดเชื้อ หรือจากการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว, รองเท้า หรือเสื้อผ้า หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาการของโรคอาจลุกลามและกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยครั้ง
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา มีอาการอย่างไร ?

- ผื่นแดงและคัน
ผื่นจะปรากฏเป็นวงกลมหรือรูปวงแหวนบริเวณผิวหนังที่ติดเชื้อ และจะรู้สึกคันอย่างต่อเนื่อง และจะยิ่งทำให้อาการแย่ลงเมื่อเกา - ผิวหนังลอกหรือเป็นขุย
ผิวบริเวณที่ติดเชื้อจะลอกหรือมีขุยคล้ายสะเก็ด บริเวณผื่นแดงมักจะมีขอบที่ชัดเจนและดูหนาเป็นพิเศษ - ผื่นเป็นวงแหวน
ลักษณะเด่นของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรามักเป็นผื่นวงกลมที่ขยายใหญ่ขึ้น โดยขอบจะหนาและแดง ส่วนตรงกลางอาจดูใสกว่าผิวหนังปกติ - มีตุ่มน้ำหรือผิวแตก
อาจมีตุ่มน้ำเล็ก ๆ หรือรอยแตกบริเวณที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า หรือบริเวณที่ผิวหนังมีความชื้นสูง - อาการอักเสบรุนแรง
หากเชื้อราลุกลามหรือไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดการอักเสบเป็นบริเวณกว้าง และทำให้ผิวหนังเสียหาย
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง ?

การรักษาหลักคือการใช้ยากำจัดเชื้อราและลดอาการอักเสบของผิวหนัง โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ หากการติดเชื้อมีขนาดเล็กหรืออยู่ในระยะแรก การรักษาด้วยยาทามักจะได้ผลดี แต่หากการติดเชื้อรุนแรงขึ้นหรือแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อาจต้องใช้ยารับประทานควบคู่กัน
การรักษาด้วยการใช้ยาทา
ยาต้านเชื้อราชนิดทาภายนอก เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole), โคลไตรมาโซล (Clotrimazole) และ มิโคนาโซล (Miconazole) เหมาะสำหรับการติดเชื้อมีขนาดเล็กและอยู่ในบริเวณที่สามารถควบคุมได้ โดยมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและช่วยลดอาการคัน แดง และผิวลอก ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด และลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
การรักษาด้วยยารับประทาน
ยาต้านเชื้อราแบบรับประทาน เช่น ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) หรือ เทอร์บินาฟีน (Terbinafine) เหมาะสำหรับการติดเชื้อราบริเวณผม/ขน/เล็บ หรือการติดเชื้อมีความรุนแรง หรือลุกลามในบริเวณกว้าง ควรต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อช่วยควบคุมการติดเชื้อและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราเกิดจากสาเหตุอะไร ?
ปัจจัยที่เป็นสาเหตุหลักของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา มักเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเติบโตของเชื้อราได้ดีดังนี้
- ความชื้นและความอับชื้น
ผิวหนังที่มีความชื้นสูง เช่น หลังจากการออกกำลังกายที่มีเหงื่อออกมาก หรือการใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศไม่ดี จะทำให้เชื้อราสามารถเจริญเติบโตได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณขาหนีบ, ซอกนิ้วเท้า หรือรักแร้ - การสัมผัสกับเชื้อรา
การใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว, เสื้อผ้า หรือรองเท้าสามารถแพร่เชื้อราให้ติดต่อกันได้ อีกทั้งยังสามารถติดเชื้อราโดยตรงจากสิ่งแวดล้อม เช่น พื้นดิน, น้ำ หรือสัตว์เลี้ยงได้เช่นกัน - ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน, ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้สูงอายุ มีโอกาสติดเชื้อราได้ง่ายกว่า เนื่องจากร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีเท่าคนปกติ - การรักษาความสะอาดไม่เพียงพอ
การไม่รักษาความสะอาดของร่างกาย หรือการใส่เสื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ ทำให้เกิดการสะสมของเหงื่อและความชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโตของเชื้อรา - การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน
การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานอาจทำให้สมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย ที่ช่วยควบคุมการเติบโตของเชื้อราถูกทำลายเสียไป ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น
โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา มีอะไรบ้าง ?

โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรามีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับประเภทของเชื้อราและบริเวณที่เกิดการติดเชื้อ มาดูกันว่ามีโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราอะไรบ้าง
- กลาก (Ringworm)
กลากเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes ซึ่งเกิดเป็นผื่นวงกลมคล้ายวงแหวน มักมีขอบแดงและคัน โดยกลากสามารถเกิดได้ทุกบริเวณของร่างกาย เช่น บนหนังศีรษะ, ลำตัว, ขาหนีบ หรือเท้า - เกลื้อน (Tinea Versicolor)
เกลื้อนเป็นการติดเชื้อราที่ทำให้เกิดผื่นสีขาวหรือสีคล้ำเล็กน้อยบนผิวหนัง และเห็นได้ชัดเมื่อผิวหนังโดนแดด เนื่องจากผิวที่เป็นเกลื้อนจะไม่สามารถสร้างสีผิวตามปกติได้ โดยมักพบในบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก เช่น หน้าอก, หลัง หรือคอ - โรคน้ำกัดเท้า (Athlete’s Foot)
เป็นการติดเชื้อราบริเวณฝ่าเท้าหรือซอกนิ้วเท้า จากการที่เท้าอับชื้นเป็นเวลานาน ทำให้เชื้อราเจริญเติบโต โดยจะมีเกิดอาการคัน, แดง และผิวลอก หรืออาจมีตุ่มน้ำในบางกรณี - สังคัง หรือโรคเชื้อราที่ขาหนีบ (Jock Itch)
บริเวณนี้มักเกิดเชื้อราได้ง่ายเนื่องจากเป็นบริเวณที่มีความอับชื้นจากเหงื่อ ทำให้เกิดอาการคัน แดง และผิวลอก - เชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis)
มักเกิดในเล็บที่มีความชื้น เช่น เล็บเท้าจากเท้าอับชื้น และเล็บที่ได้รับการบาดเจ็บหรือถูกบีบอัด ทำให้มีอาการเล็บหนา แตกหักง่าย หรือเปลี่ยนสี - เชื้อราที่หนังศีรษะ (Tinea Capitis)
เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes อาการจะมีผื่นแดง คัน ผิวลอก และผมร่วงในบริเวณที่ติดเชื้อ หากไม่ได้รับการรักษาอาจกลายเป็นรอยแผลเป็นได้ มักพบในเด็ก - โรคผิวหนังอักเสบจoากเชื้อราแคนดิดา (Candidiasis)
เกิดจากเชื้อรากลุ่ม Candida ที่มักติดเชื้อในบริเวณที่มีความชื้น เช่น รักแร้, ขาหนีบ หรือซอกนิ้ว โดยจะมีอาการผื่นแดง คัน และอาจมีตุ่มน้ำหรือผิวแตก
วัยไหนเสี่ยงเป็นโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
เด็ก
- ปัจจัยเสี่ยง
ระบบภูมิคุ้มกันในเด็กยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ รวมถึงเด็กมักมีพฤติกรรมการเล่นในที่ที่มีความชื้นหรือสัมผัสสิ่งของที่ไม่สะอาด เช่น พื้นดิน หรือของเล่นที่มีเชื้อรา - วิธีหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ระบายอากาศได้ดี และไม่อับชื้น รวมถึงทำความสะอาดร่างกายหลังการเล่นหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอ
วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ
- ปัจจัยเสี่ยง
มักมีการหมักหมมของเหงื่อและความชื้นในร่างกาย จากการออกกำลังกายบ่อย ๆ ซึ่งเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ รักแร้ และซอกนิ้วเท้า - วิธีหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
ควรอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังการออกกำลังกายทันที สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และดูแลผิวหนังให้แห้งตลอดเวลา
ผู้สูงอายุ
- ปัจจัยเสี่ยง
ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง รวมถึงผิวหนังที่แห้งง่ายและมีความยืดหยุ่นลดลง ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การใช้ยารักษาโรคประจำตัวบางชนิดยังอาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลงได้อีกด้วย - วิธีหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
ควรดูแลความสะอาดของผิวหนัง รักษาความชุ่มชื้น และหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่อับชื้น
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา อันตรายไหม ?

โดยทั่วไปโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราไม่ถือว่าเป็นโรคที่อันตราย และสามารถรักษาให้หายได้หากได้รับการดูแลและรักษาที่เหมาะสม แต่หากปล่อยให้เชื้อราลุกลามโดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดอาการอักเสบมากขึ้น และในบางกรณีอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงได้
ในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน, ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อราอาจรุนแรงขึ้นและลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ดังนั้นควรรีบปรึกษาแพทย์หากพบอาการที่น่าสงสัย หรือหากการติดเชื้อรามีอาการรุนแรงขึ้น
เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?
- อาการไม่ดีขึ้นหลังการรักษาด้วยยาทาทั่วไป
หากใช้ยาต้านเชื้อราที่หาซื้อได้เองแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรืออาการแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม - ผื่นหรืออาการอักเสบรุนแรง
การติดเชื้อราที่ลุกลามมากขึ้น เช่น มีอาการผื่นขยายวงกว้าง รู้สึกคันหรือเจ็บมากขึ้น หรือมีอาการบวมแดงรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม - มีอาการอื่น ๆ ร่วม เช่น มีไข้
การติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น เช่น มีไข้ร่วมกับอาการผิวหนังอักเสบ หรือเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมกับเชื้อรา จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะควบคู่ไปกับยาต้านเชื้อรา จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม - ผิวหนังแตก มีตุ่มน้ำ หรือมีน้ำหนอง
หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจนำไปสู่การติดเชื้ออื่น ๆ ที่ร้ายแรงได้ - อาการเกิดในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรรีบพบแพทย์ทันทีหากมีการติดเชื้อรา เนื่องจากอาจติดเชื้อรุนแรงและลุกลามได้มากกว่าคนปกติ - อาการเกิดซ้ำบ่อยครั้ง
หากเป็นโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราบ่อย ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติมและรับการรักษาที่เหมาะสม
วิธีการวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราของแพทย์ผิวหนัง
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย
แพทย์จะเริ่มจากการสอบถามประวัติการแพทย์ของผู้ป่วย รวมถึงอาการที่เกิดขึ้น เช่น อาการคัน ผื่น หรือการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง จากนั้นจะตรวจร่างกายบริเวณที่มีผื่นหรือผิวหนังที่ผิดปกติ เพื่อดูรูปร่าง ลักษณะ และตำแหน่งของผื่นที่สงสัยว่าเกิดจากเชื้อรา - การขูดผิวหนัง (Skin Scraping Test)
แพทย์จะใช้เครื่องมือขูดเอาเซลล์ผิวหนังชั้นนอกจากบริเวณที่ติดเชื้อรามาตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์เพื่อหาสัญญาณของเชื้อรา - การย้อมสีด้วยโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH Test)
ตัวอย่างที่ขูดจากผิวหนังจะถูกนำไปผสมกับสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) เพื่อทำลายเซลล์ผิวหนังและทำให้สามารถเห็นโครงสร้างของเชื้อราได้อย่างชัดเจนขึ้นเมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ - การตรวจด้วยแสงอัลตราไวโอเลต (Wood’s Lamp)
ในบางกรณี แพทย์อาจใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood’s Lamp ซึ่งเป็นแสงอัลตราไวโอเลตชนิดพิเศษ ทำให้เชื้อราเรืองแสงเป็นสีเขียวหรือเหลืองเพื่อตรวจดูการติดเชื้อราที่ติดอยู่บนผิวหนัง - การเพาะเชื้อ (Fungal Culture)
หากผลจากการตรวจอื่น ๆ ไม่ชัดเจน แพทย์อาจเก็บตัวอย่างผิวหนังหรือเล็บไปเพาะเชื้อในห้องปฏิบัติการ เพื่อดูว่ามีการเจริญเติบโตของเชื้อราหรือไม่ และช่วยยืนยันชนิดของเชื้อราได้ชัดเจน แต่อาจใช้เวลาในการตรวจหลายวันถึงสัปดาห์ - การตรวจชิ้นเนื้อ (Skin Biopsy)
ในบางกรณีที่ยากต่อการวินิจฉัย แพทย์อาจทำการตัดชิ้นเนื้อจากผิวหนังเพื่อนำไปตรวจชิ้นเนื้อ ซึ่งจะช่วยให้สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นการติดเชื้อรา หรือเกิดจากปัญหาผิวหนังอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา หายเองได้ไหม ?

โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราไม่สามารถหายเองได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม และหากปล่อยให้เชื้อราลุกลามนาน ๆ ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดการติดเชื้อในวงกว้าง แต่ยังเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อซ้ำและทำให้ผิวหนังเสียหายถาวรได้
การรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรานั้นต้องใช้ ยาต้านเชื้อรา ทั้งในรูปแบบยาทาและยารับประทาน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ และควรใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ และป้องกันไม่ให้เชื้อรากลับมาเป็นซ้ำในอนาคต
ดังนั้นหากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
คำถามที่พบบ่อย
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา รักษานานไหม ?
ระยะเวลาในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและตำแหน่งของการติดเชื้อ โดยทั่วไปแล้วหากเป็นการติดเชื้อเล็กน้อยหรืออยู่ในระยะเริ่มต้น การใช้ยาทาหรือยารับประทานอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์มักจะทำให้อาการดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ และหายขาดภายใน 3-4 สัปดาห์
ในกรณีที่การติดเชื้อรุนแรงขึ้นหรือลุกลามไปในหลายบริเวณ การใช้ ยารับประทาน ร่วมกับยาทาอาจใช้เวลารักษานานขึ้น เช่น 4-6 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วยแต่ละคน
หากผู้ป่วยหยุดใช้ยาก่อนครบกำหนด หรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ อาจทำให้การรักษาไม่สมบูรณ์และเชื้อรากลับมาเป็นซ้ำได้
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราติดต่อกันได้ไหม ?

โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราสามารถติดต่อกันได้ โดยเฉพาะการสัมผัสกับผิวหนังที่ติดเชื้อ หรือการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อรา นอกจากนี้เชื้อราสามารถแพร่กระจายได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้น เช่น ห้องน้ำ, พื้นดิน หรือในสถานที่สาธารณะที่มีความชื้นสูง
ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น, รักษาความสะอาดของร่างกาย และควรทำให้บริเวณที่มีความอับชื้นแห้งอยู่เสมอ เช่น ขาหนีบ, รักแร้ หรือซอกนิ้วเท้า
รักษาโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราให้หายขาดได้ไหม ?
สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและครบถ้วนตามคำแนะนำของแพทย์
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ เนื่องจากเชื้อรามักเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่มีความชื้นและอบอุ่น หากผู้ป่วยไม่รักษาความสะอาดของผิวหนัง หรือปล่อยให้ผิวหนังอับชื้น ก็อาจทำให้เชื้อรากลับมาเป็นซ้ำได้
หากมีการติดเชื้อราซ้ำบ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมและรับคำแนะนำในการดูแลผิวหนังอย่างถูกวิธี
สรุป
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราเป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดขึ้นได้บ่อย โดยเฉพาะในบริเวณที่มีความชื้นและอบอุ่น อาการของโรคมักเริ่มต้นด้วยการเกิดผื่นแดง คัน และผิวลอก ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจลุกลามและทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาต้านเชื้อราอย่างสม่ำเสมอ ทั้งในรูปแบบยาทาและยารับประทานตามคำแนะนำของแพทย์
การป้องกันโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราเป็นเรื่องสำคัญ การดูแลสุขภาพผิวอย่างถูกต้องจะช่วยลดโอกาสในการเกิดเชื้อรา และป้องกันไม่ให้เชื้อรากลับมาเป็นซ้ำในอนาคต หากอาการไม่ดีขึ้นหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม
แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
Skin Fungus: Fungal Infection, Fungal Rash, Skin Fungus Treatment
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/4276-skin-fungus
Medically Reviewed by Zilpah Sheikh, MD on June 12, 2024. Alyson Powell Key.
Skin Fungal Infections: Symptoms, Types, Causes, and Treatments
https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/fungal-infections-skin
dermnetnz. Fungal infections.
https://dermnetnz.org/topics/fungal-skin-infections
บทความโดย
ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว
ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ที่ตั้งคลินิก เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 9 (ติดบันไดเลื่อน) และ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น 4