ฝ้า VS กระ แตกต่างกันอย่างไร? ตำแหน่ง สาเหตุและวิธีสังเกต

ฝ้า VS กระ ต่างกันอย่างไร มักจะเกิดตำแหน่งไหน รู้สาเหตุและวิธีสังเกต

ฝ้า กระ เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในคนไทย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงแดดบ่อย ๆ หรือเริ่มมีอายุขึ้น หลายคนอาจสับสนว่า “ฝ้า” กับ “กระ” เหมือนกันหรือไม่? ซึ่งเป็นคำถามที่หมอมักเจอบ่อยมากจากคนไข้ บทความนี้หมอจะพามาเจาะลึกแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่าฝ้ากับกระต่างกันอย่างไร เกิดจากอะไร และมีวิธีดูแลผิวยังไงให้กลับมากระจ่างใส

ฝ้า Vs กระ

ฝ้า คืออะไร

ฝ้า (Melasma) คือภาวะผิวหนังที่เกิดลักษณะเป็นแผ่นปื้นสีน้ำตาล เทา หรือแดงคล้ำ มีตั้งแต่สีอ่อนไปจนถึงเข้มมาก โดยมักเกิดบริเวณใบหน้า เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก หรือเหนือริมฝีปาก ซึ่งเป็นจุดที่ได้รับแสงแดดมากที่สุด เกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินมากผิดปกติ ซึ่งสัมพันธ์กับแสงแดด ฮอร์โมน และพันธุกรรม

ประเภทของฝ้า

ประเภทของฝ้า

ฝ้าแบ่งออกเป็น 5 ประเภทตามระดับความลึกของเม็ดสีในชั้นผิวและสาเหตุของการเกิดฝ้า ดังนี้

  1. ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma)
    เกิดจากเม็ดสีเมลานินสะสมในชั้นหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ ขอบชัด
  2. ฝ้าลึก (Dermal Melasma)
    เม็ดสีอยู่ในชั้นหนังแท้ สีออกเทาหรือเทาอมฟ้า ขอบไม่ชัด กลืนกับผิว
  3. ฝ้าผสม (Mixed-type Melasma)
    พบได้บ่อยที่สุด มีทั้งส่วนที่เป็นฝ้าตื้นและฝ้าลึก สีจะหลากหลายทั้งน้ำตาลและเทา
  4. ฝ้าแดด
    เกิดจากการสัมผัสแสงแดด รังสี UV และรังสีจากหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์หรือมือถือ มักเป็นรอยคล้ำสีน้ำตาล เทา หรือแดง
  5. ฝ้าเลือด
    มีลักษณะสีแดงปนน้ำตาล หรือเห็นเป็นเส้นเลือดฝอยใต้ผิว เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือด ร่วมกับปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการใช้ยาบางชนิด

กระ คืออะไร

กระ (Freckles / Lentigines)คือจุดเล็ก ๆ บนผิวหนังที่มีสีเข้มหรืออ่อนกว่าสีผิวปกติ มักเป็นสีน้ำตาล และมีขอบเขตชัดเจน แตกต่างจากฝ้าที่มักมีลักษณะเป็นแผ่นปื้น กระจะเห็นชัดในบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย เช่น โหนกแก้ม สันจมูก แขน หรือไหล่ โดยเกิดจากการที่เม็ดสีเมลานินผลิตมากกว่าปกติ พบได้บ่อยในคนผิวขาว หรือผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นกระ

ประเภทของกระ

ประเภทของกระ
  1. กระตื้น (Freckles / Ephelides)
    จุดสีน้ำตาลขนาดเล็ก มักพบในคนผิวขาว เกิดจากแสงแดดสะสม เห็นชัดในช่วงหน้าร้อน และสามารถจางลงได้เองเมื่อหลีกเลี่ยงแดด
  2. กระลึก (Hori’s nevus / Dermal Lentigines)
    เม็ดสีอยู่ลึกในชั้นหนังแท้ สีมักเป็นน้ำตาลเข้มหรือดำ พบบ่อยบริเวณโหนกแก้ม รักษายากกว่ากระตื้น
  3. กระแดด (Solar Lentigines)
    พบในวัยผู้ใหญ่มากกว่าวัยรุ่น เกิดจากการสะสมรังสียูวีต่อเนื่อง มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเข้มหรือดำ ผิวเรียบ ขนาดใหญ่กว่ากระตื้น
  4. กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis)
    มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อเล็ก ๆ นูนจากผิว สีอาจเป็นน้ำตาลหรือดำ มักพบที่ใบหน้าและลำคอ เกิดจากพันธุกรรม

สาเหตุฝ้า กระ เกิดจากอะไร

ฝ้า กระเกิดจากการผลิต เมลานิน (Melanin) เม็ดสีในผิวหนังที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากรังสียูวี เมื่อผิวโดนแสงแดดมากเกินไป เม็ดสีจะผลิตเมลานินมากขึ้นเพื่อดูดซับรังสี ทำให้สีผิวในบริเวณนั้นเข้มขึ้นจนเห็นเป็นฝ้าหรือกระ โดยสาเหตุหลักที่ส่งผลต่อการเกิดฝ้าและกระ ได้แก่

  • แสงแดด (UV Radiation)
    รังสียูวีจากแสงแดดจะกระตุ้นการผลิตเมลานินในผิวหนัง เมื่อผิวโดนแดดบ่อย ๆ หรือรับรังสียูวีเป็นเวลานาน จะทำให้ฝ้าและกระเกิดขึ้นได้ง่าย
  • ไม่ทาครีมกันแดด
    การละเลยการทาครีมกันแดดทำให้ผิวหนังได้รับรังสียูวีโดยตรง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้าและกระ ควรทาครีมกันแดดทุกวันแม้จะทำงานในที่ร่ม
  • ฮอร์โมน
    การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์, การใช้ยาคุมกำเนิด หรือการรักษาด้วยฮอร์โมนบางชนิด สามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้
  • พันธุกรรม
    ถ้ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นฝ้าและกระ โอกาสที่จะเกิดฝ้าและกระก็จะมีสูงขึ้น
  • ความเครียด
    ความเครียดทำให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งไปกระตุ้นการผลิตเมลานินในผิวหนัง
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำร้ายผิว
    การใช้สครับหรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรงมากเกินไปอาจทำให้ผิวบางลงและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ทำให้เกิดฝ้าและกระได้ง่าย

ฝ้า กระ เกิดตำแหน่งไหนได้บ้าง

ฝ้า กระ เกิดตำแหน่งไหนได้บ้าง

ฝ้าและกระ สามารถเกิดได้ในตำแหน่งต่าง ๆ บนร่างกาย แต่จะพบได้บ่อยในบริเวณที่ผิวสัมผัสกับแสงแดดมากที่สุด โดยตำแหน่งที่พบได้บ่อยคือ

  • โหนกแก้ม
  • หน้าผาก
  • เหนือริมฝีปาก
  • คาง
  • สันจมูก
  • แขน และ หลังมือ

ตำแหน่งเหล่านี้มักได้รับแสงแดดโดยตรง ซึ่งกระตุ้นการผลิตเมลานินทำให้เกิดฝ้าและกระได้ง่ายมากกว่าตำแหน่งอื่น ๆ

สังเกต! ฝ้า VS กระ แตกต่างกันอย่างไร

หลายคนอาจสังเกตเห็นผิวที่มีจุดหรือรอยคล้ำบนใบหน้า ซึ่งอาจทำให้สับสนระหว่าง ฝ้า และ กระ เพราะทั้งสองลักษณะนี้มีความคล้ายคลึงกัน แต่จริง ๆ แล้วต่างกันทั้งในเรื่องของลักษณะ, ตำแหน่งที่เกิด และสาเหตุของการเกิด ดังนี้

ฝ้า

กระ

ลักษณะ

ปื้นสีเข้ม มีขนาดใหญ่กว่ากระ สีอาจเป็นน้ำตาล เทา หรือดำ

จุดเล็ก ๆ สีเข้มหรืออ่อนกว่าสีผิว มักเป็นสีน้ำตาลหรือดำ

ตำแหน่งที่พบบ่อย

มักเกิดบริเวณแก้ม โหนกแก้ม หน้าผาก

โหนกแก้ม สันจมูก แขน หลังมือ และลำตัว

สาเหตุหลัก

แสงแดด ฮอร์โมน ยาคุมกำเนิด พันธุกรรม ความเครียด

แสงแดด พันธุกรรม มักเกิดในคนผิวขาว

ใครมีกำลังมีปัญหาฝ้าหรือกระ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อน เพราะฝ้าและกระแต่ละประเภทมีวิธีดูแลและรักษาที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งถ้าเราเข้าใจให้ถูกตั้งแต่ต้น ก็จะช่วยให้เลือกวิธีรักษาได้ตรงจุดและเห็นผลไวมากขึ้น

ฝ้า กระ รักษายังไง? รวมวิธีรักษาแนะนำโดยแพทย์ผิวหนัง (ตจวิทยา)

วิธีรักษา ฝ้า กระ

การรักษาฝ้าและกระมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิด ความรุนแรง และระดับความลึกของเม็ดสีที่เกิดขึ้น โดยแนวทางการรักษาที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ มีดังนี้

  1. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม
    ครีมไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของวิตามิน C, อาร์บูติน (Arbutin) หรือกรดผลไม้ เหมาะกับฝ้าตื้นหรือกระตื้น
  2. การผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling)
    การใช้สารผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA หรือ TCA ช่วยเร่งการหลุดลอกของเซลล์ผิวชั้นบน ทำให้เม็ดสีจางลงและผิวเรียบเนียนขึ้น
  3. การทำเลเซอร์ (Laser Treatment)
    เลเซอร์เฉพาะทาง เช่น Q-switched Nd:YAG, Pico laser หรือ CELLEC V จะมุ่งตรงไปที่เม็ดสีเมลานินใต้ผิว ช่วยสลายเม็ดสีให้จางลง
  4. ทำทรีตเมนต์
    เช่น เมโสหน้าใส คือการฉีดวิตามินเข้มข้นเข้าผิวช่วยลดเม็ดสี ส่วน IPL (Intense Pulsed Light) จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดจุดด่างดำ เหมาะใช้ควบคู่กับการรักษาหลักเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น
  5. ทาครีมกันแดดให้ถูกวิธี
    ทาครีมกันแดด SPF50+ PA+++ ทุกวัน แม้อยู่ในร่ม และทาซ้ำทุก 2–3 ชั่วโมงเมื่อต้องออกแดด หลีกเลี่ยงแดดจัดช่วง 10.00–15.00 น. และใส่หมวกหรือร่มเสริมการปกป้องผิว

การรักษาฝ้าและกระควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละคน หากไม่แน่ใจว่าเป็นฝ้าหรือกระประเภทไหน ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนการรักษาที่ตรงจุดและปลอดภัยที่สุด

ฝ้า กระ อันตรายไหม

ฝ้า กระ โดยทั่วไปไม่อันตรายต่อสุขภาพ แต่อาจทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำและลดความมั่นใจได้ แต่ถ้าลักษณะของฝ้าหรือกระเปลี่ยนแปลงหรือดูแปลกไป ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ปัญหาผิวอื่น ๆ

เคล็ดลับการป้องกัน

การป้องกัน ฝ้า กระ
  1. ทาครีมกันแดดที่มี SPF 50+ PA+++ ทุกเช้าและทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง เมื่อออกแดด เพื่อลดการถูกทำร้ายจากรังสียูวีที่ทำให้เกิดฝ้าและกระ
  2. หลีกเลี่ยงแดดช่วง 10.00 – 15.00 น. เพราะรังสียูวีในช่วงเวลานี้มีความเข้มข้นสูงที่สุด ควรหลีกเลี่ยงการตากแดดในช่วงนี้เพื่อปกป้องผิว
  3. ใส่หมวกหรือใช้ร่ม การใช้หมวกหรือร่มช่วยบังแดดจะช่วยลดการสัมผัสกับแสงแดดที่ทำให้เกิดฝ้าและกระได้
  4. ดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่ง เลือกครีมที่มีส่วนผสมจากวิตามิน C หรืออาร์บูติน ซึ่งช่วยลดการผลิตเม็ดสีที่ทำให้ฝ้าและกระจางลง
  5. พักผ่อนและลดความเครียด การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอและลดความเครียดช่วยควบคุมการผลิตเม็ดสีและลดการเกิดฝ้าและกระ

สรุป

ฝ้าและกระมีลักษณะที่คล้ายกันหลายอย่าง แต่สาเหตุและวิธีรักษานั้นแตกต่างกัน การประเมินโดยแพทย์ผิวหนังจึงสำคัญมาก หากใครไม่มั่นใจว่าตัวเองเป็นฝ้าหรือกระแบบไหน หมอแนะนำให้ลองเข้ามาปรึกษาที่ ลลิษาคลินิก มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล และแนะนำวิธีรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละคนได้แบบตรงจุด

บทความโดย

ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว

ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ที่ตั้งคลินิก เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 9 (ติดบันไดเลื่อน) และ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น 4