คลินิกรักษาสิว โดยแพทย์โรคผิวหนังโดยเฉพาะ
ฝ้าสเตียรอยด์ สังเกตอาการผิวติดสาร พร้อมวิธีการดูแลและการรักษา

ฝ้าสเตียรอยด์ปัญหาผิวที่ซับซ้อนและน่ากังวลใจ แม้ว่าการใช้ยาสเตียรอยด์อาจมอบผิวสวยใสได้ในระยะแรก แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาจากการใช้อย่างต่อเนื่องนั้นกลับร้ายแรงกว่าที่คิด ผิวที่เคยแข็งแรงจะค่อย ๆ บอบบางลง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาผิวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสิว ผื่นแพ้ และที่สำคัญคือ ฝ้าสเตียรอยด์ที่ทำให้ผิวหน้าขาดความเรียบเนียน
บทความนี้หมอตาลจะพาคุณไปรู้จักกับฝ้าสเตียรอยด์อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นกลไกการเกิด ลักษณะเฉพาะของฝ้าแต่ละชนิด เพื่อให้การดูแลรักษาเป็นไปอย่างตรงจุดและได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
สเตียรอยด์ คืออะไร
สเตียรอยด์เป็นกลุ่มฮอร์โมนสำคัญที่ร่างกายสร้างขึ้นจากต่อมหมวกไตชั้นนอก โดยสามารถควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างปกติ สำหรับการนำมาใช้ทางการแพทย์ สเตียรอยด์ที่ใช้จะเป็นสารสังเคราะห์ ซึ่งมีรูปแบบการให้ยาหลากหลาย ทั้งยาเม็ดรับประทาน ยาทาภายนอก และยาฉีด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสเตียรอยด์จัดเป็นสารที่สามารถก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย การใช้ยาสเตียรอยด์จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลและสั่งจ่ายโดยหมอผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา
ผลกระทบที่เป็นอันตรายจากการใช้สเตียรอยด์

ถึงแม้ว่าสเตียรอยด์จะมีคุณสมบัติทางยาที่สำคัญ แต่ก็ถูกจัดว่าเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายได้ หากมีการใช้ในปริมาณที่มากเกินไป หรือใช้งานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ซึ่งผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สเตียรอยด์มีดังนี้
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลง ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อต่าง ๆ ทั้งไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา
- ภาวะความดันโลหิตและไขมันในเลือดสูง สเตียรอยด์สามารถส่งผลให้ระดับความดันโลหิตและไขมันในเลือดเพิ่มสูงขึ้นได้
- การทำงานของฮอร์โมนผิดปกติ การใช้สเตียรอยด์จะไปกดการสร้างฮอร์โมนตามธรรมชาติของร่างกาย และเมื่อหยุดใช้ อาจทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนได้ไม่เพียงพอ
- กระดูกอ่อนแอและพรุน สเตียรอยด์มีผลทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกเปราะและกระดูกพรุน
- ความดันในลูกตาสูง การใช้สเตียรอยด์อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้นได้
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน สเตียรอยด์สามารถกระตุ้นความอยากอาหารและส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้เสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักเกินและโรคเบาหวาน
- ภาวะหัวใจล้มเหลว การใช้สเตียรอยด์ในบางกรณีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้
- ปัญหาผิวหนังจากการทาสเตียรอยด์ การทาสเตียรอยด์บนใบหน้าเป็นเวลานาน สามารถนำไปสู่ภาวะ “หน้าติดสเตียรอยด์” ซึ่งมีอาการปรากฏ เช่น สิวสเตียรอยด์ ฝ้าสเตียรอยด์ ผื่นแดง และอาจมีอาการแสบร้อนและผิวลอกร่วมด้วย
ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การเกิดฝ้าสเตียรอยด์
ฝ้าสเตียรอยด์เกิดจากการใช้สารสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนผิวเกิดภาวะพึ่งพาสารดังกล่าวและไม่สามารถหยุดใช้ได้ เมื่อหยุดใช้สเตียรอยด์ที่สะสมอยู่จะถูกขับออกมาในรูปของสิวและผื่น นอกจากนี้ การใช้สเตียรอยด์ยังส่งผลให้ผิวบางลง ทำให้ผิวมีความไวต่อปัจจัยภายนอกและเกิดฝ้าสเตียรอยด์ได้ง่ายขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการเกิดฝ้าสเตียรอยด์บนใบหน้าดังนี้
- รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดด การสัมผัสแสงแดดเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง และในผู้ที่มีผิวบอบบางจากการใช้สเตียรอยด์ แสงแดดจะยิ่งส่งเสริมการเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น
- ปัจจัยทางพันธุกรรม บุคคลที่มีประวัติครอบครัวเป็นฝ้า อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าในการเกิดฝ้าสเตียรอยด์เมื่อใช้สารสเตียรอยด์
- ระดับฮอร์โมนในร่างกาย เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด หรือในช่วงตั้งครรภ์ อาจมีผลต่อการสร้างเม็ดสีผิว และอาจเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดฝ้าสเตียรอยด์ได้ง่ายขึ้นในผู้ที่เคยใช้สเตียรอยด์
ลักษณะของฝ้าสเตียรอยด์ตามระดับความลึกของผิว

ฝ้าสเตียรอยด์เป็นภาวะผิวหนังที่เกิดจากการที่ผิวบอบบางลงเนื่องจากการใช้สารสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยสามารถแบ่งตามระดับความลึกของรอยฝ้าในชั้นผิวได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
- ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นนอกสุด ขอบเขตของฝ้าจะค่อนข้างชัดเจน และมีสีน้ำตาลเข้มถึงสีเทา
- ฝ้าลึก (Dermal Melasma) เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ชั้นหนังกำพร้า ขอบของฝ้าจะดูไม่ชัดเจนและจางกว่าฝ้าตื้น โดยมักมีสีม่วงน้ำเงินถึงสีเทาน้ำเงิน
- ฝ้าผสม (Mixed Melasma) เป็นลักษณะของฝ้าที่ปรากฏทั้งในชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ ทำให้มีลักษณะผสมผสานของฝ้าตื้นและฝ้าลึกร่วมกัน โดยจะมีสีน้ำตาล สีเทา หรือสีเทาน้ำเงิน
ตำแหน่งที่มักพบฝ้าสเตียรอยด์บนใบหน้า
โดยทั่วไปแล้ว ฝ้าสเตียรอยด์มักปรากฏบริเวณเหล่านี้บนใบหน้า
- โหนกแก้ม เป็นบริเวณที่พบฝ้าได้บ่อยที่สุด
- ขมับ มักพบฝ้าบริเวณด้านข้างของหน้าผาก ใกล้กับไรผม
- สันจมูก ฝ้าสามารถเกิดขึ้นตามแนวสันจมูกได้
- หน้าผาก พบได้ทั้งบริเวณหน้าผากส่วนบนและส่วนล่าง
5 แนวทางการดูแลรักษาผิวจากภาวะฝ้าสเตียรอยด์

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาฝ้าสเตียรอยด์ให้หายขาดได้อย่างถาวร เนื่องจากฝ้ามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้เสมอ อย่างไรก็ตาม มีแนวทางในการดูแลรักษาเพื่อช่วยให้รอยฝ้าบนใบหน้าดูจางลงได้ ดังนี
- หยุดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสเตียรอยด์
สิ่งสำคัญอันดับแรกในการรักษาฝ้าสเตียรอยด์คือการหยุดใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ การใช้สเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องจะยิ่งทำให้ผิวบางลงและฝ้ามีสีเข้มขึ้น ดังนั้น การหยุดใช้ทันทีจะช่วยให้ผิวหน้าค่อย ๆ ฟื้นฟูและกลับมาแข็งแรงขึ้นได้ - การใช้ยาทารักษาฝ้าภายใต้การดูแลของหมอผิวหนัง
ยาทารักษาฝ้าสามารถช่วยให้รอยฝ้าจางลงได้ โดยมีทั้งยาแบบทาและยารับประทาน อย่างไรก็ตาม ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้น การใช้ยาใด ๆ ควรอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของหมอผิวหนังเพื่อความปลอดภัย - การรักษาด้วยเลเซอร์
การฉายเลเซอร์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาฝ้าสเตียรอยด์ได้อย่างตรงจุด โดยเลเซอร์จะเข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนัง ทำให้ฝ้าค่อย ๆ จางลง นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น - งดการใช้เครื่องสำอางบางชนิด
เครื่องสำอางบางประเภทอาจมีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและทำให้ฝ้าสเตียรอยด์มีสีเข้มขึ้นได้ เช่น น้ำหอม สารกันเสียพาราเบน แอลกอฮอล์ หรือสารอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ นอกจากนี้ เครื่องสำอางยังอาจอุดตันรูขุมขนและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสิว - การผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวสามารถช่วยให้รอยฝ้าดูจางลงได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกลุ่มสารกรด AHA จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่มีเม็ดสีเข้มให้ออกไป แต่ควรระมัดระวังเนื่องจากการใช้นาน ๆ อาจทำให้ผิวบางลงได้ ส่วนกรด PHA เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้อย่างอ่อนโยนกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางจากผลกระทบของสเตียรอยด์
คนไข้อาจกำลังสงสัยว่าแล้วฝ้าอันตรายไหม หมอได้เขียนข้อมูลไว้แล้ว สามารถอ่านเพิ่มเติมได้เลยค่ะ
วิธีการดูแลผิวหน้าที่มีฝ้าสเตียรอยด์
เริ่มจากการหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสเตียรอยด์ทันที และหันมาใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน ปราศจากสารระคายเคือง ควรงดแต่งหน้าชั่วคราวและหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวหน้าแรง ๆ รวมถึงปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรง เสริมสร้างสุขภาพผิวจากภายในด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาด และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ที่สำคัญ ควรปรึกษาหมอผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาหรือเลเซอร์ภายใต้การดูแลของหมอ
การป้องกันการเกิดและลดความรุนแรงของฝ้าสเตียรอยด์

แม้ว่าการรักษาฝ้าสเตียรอยด์ให้จางลงจะเป็นไปได้ แต่ฝ้าก็มีโอกาสกลับมาเข้มขึ้นได้อีก เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าแย่ลงหรือเกิดในบริเวณอื่น ควรปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น หากมีความจำเป็นต้องใช้ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของหมออย่างใกล้ชิด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นสำคัญในการสร้างเม็ดสีผิว การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดจะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้น และยังป้องกันผิวจากการถูกทำลายจากแสงแดดอีกด้วย
- ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA ที่เหมาะสมเป็นประจำทุกวัน จะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิวและทำให้เกิดฝ้า
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีและเสริมความแข็งแรงให้ผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีในชั้นผิว เช่น วิตามินซี ไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3) และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฝ้าและทำให้ผิวทนทานต่อปัจจัยภายนอกได้ดีขึ้น
- ดูแลสุขภาพโดยรวม การรทานอาหารที่มีประโยชน์ พร้อมกับดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ล้วนมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพผิวที่ดีจากภายใน ซึ่งจะช่วยให้ผิวมีความแข็งแรงและลดความไวต่อการเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ รวมถึงฝ้า
ครีมที่มีสารสเตียรอยด์ ดูยังไง
ทาครีมที่ท้องแขนหรือข้อพับผิวอ่อน แล้วปิดด้วยปลาสเตอร์ 6 ชั่วโมง หากผิวขาวซีดผิดปกติ แสดงว่ามีสเตียรอยด์ ควรหยุดใช้ทันที
สรุป
ฝ้าสเตียรอยด์เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน ทำให้ผิวบอบบางและเกิดจุดด่างดำที่ยากต่อการรักษา การดูแลเริ่มต้นจากการหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสเตียรอยด์ หลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว ที่ลลิษาคลินิก เรามีหมอผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีทันสมัยพร้อมวางแผนการรักษาฝ้าสเตียรอยด์แบบครบวงจร ตั้งแต่การฟื้นฟูผิวที่บอบบางจากสเตียรอยด์ ไปจนถึงการกำจัดฝ้าด้วยเลเซอร์เฉพาะทาง ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อผิวที่กลับมาสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
บทความโดย
ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว
ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ที่ตั้งคลินิก เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 9 (ติดบันไดเลื่อน) และ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น 4