คลินิกรักษาสิว โดยแพทย์โรคผิวหนังโดยเฉพาะ
รอยแผลเป็นจากสิว อย่าปล่อยไว้! ยิ่งรักษาไว ยิ่งเห็นผลเร็ว

รอยแผลเป็นจากสิวส่งผลโดยตรงต่อความมั่นใจในชีวิตประจำวัน หลายคนมักเข้าใจผิดว่ารอยแผลเป็นจากสิวจะหายได้เองตามธรรมชาติ ทั้งที่ความจริงแล้วบางรอยอาจใช้เวลานานกว่าจะจางลง หรือไม่สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ
วันนี้หมอจะพาทุกท่านไปรู้จักกับรอยแผลเป็นจากสิวให้มากขึ้น ทั้งสาเหตุ การดูแล และวิธีรักษาแบบเห็นผล เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนและมั่นใจอีกครั้ง
รอยแผลเป็นจากสิว คืออะไร?

รอยแผลเป็นจากสิว คือรอยแผลที่เกิดจากการที่ผิวหนังชั้นลึกได้รับความเสียหายจากสิวอักเสบรุนแรง ทำให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนขึ้นมาซ่อมแซม แต่ไม่สามารถทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมได้ จึงเกิดเป็นรอยหลุมหรือนูนที่เห็นได้ชัด
รอยแผลเป็นจากสิว มีกี่ประเภท
รอยแผลเป็นจากสิวมีทั้งหมด 4 ประเภท แต่ละประเภทมีความแตกต่างกันออกไปดังนี้
- รอยดำ หรือ Post Inflammatory Hyperpigmentation
เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวหัวหนอง และสิวอุดตันรุนแรง ทำให้ร่างกายเกิดการผลิตเมลานินมากเกินความจำเป็น จนเกิดเป็นรอยดำชัดเจน ซึ่งโดยทั่วไปรอยดำจากสิวจะใช้ระยะเวลาในการรักษาที่นานกว่ารอยแดง
- รอยแดง หรือ Post Inflammatory Erythema
เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการอักเสบของสิวที่ยังไม่หายสนิท ทำให้หลอดเลือดบริเวณผิวขยายตัว เกิดเป็นรอยสีแดงหรือชมพู
- รอยหลุมสิว หรือ Atrophic Scars
เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการที่ผิวหนังไม่สามารถสร้างคอลลาเจนได้เพียงพอในบริเวณที่สิวอักเสบ ทำให้เกิดหลุมลึกหรือรอยเว้าบนผิวหนัง ประเภทของรอยแผลเป็นหลุมสิวมีหลายประเภท ได้แก่- Rolling Scars เป็นหลุมตื้น มีลักษณะเป็นรูปคลื่น มีปากหลุมกว้างประมาณ 4-5 มิลลิเมตร เป็นหลุมสิวที่สามารถรักษาได้ง่ายที่สุด เนื่องจากมีระดับความลึกที่ตื้นกว่าหลุมสิวประเภทอื่น
- Boxcar Scars เป็นหลุมลึกระดับปานกลาง รูปทรงกล่องสี่เหลี่ยมหรือวงรี รอยหลุมกว้างและมีขอบชัดเจน มีขนาดกว้างประมาณ 3-5 มิลลิเมตร มักพบบริเวณแก้มและขมับ เป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงปานกลาง มีโอกาสเกิดเป็นจุดด่างดำหลังการรักษา
- Ice-pick Scars เป็นหลุมลึกและปากแผลแคบเหมือนรอยเข็ม โดยหลุมมีความลึกถึงชั้นรูขุมขน ซึ่งเกิดจากการทำลายคอลลาเจนอย่างรุนแรง เป็นรอยหลุมสิวที่รักษายากและใช้เวลานานที่สุด
- รอยแผลเป็นนูน หรือ Hypertrophic/Keloid Scars
เป็นรอยแผลที่เกิดจากการที่ผิวหนังมีการสร้างเนื้อเยื่อมากเกินไปบริเวณที่มีสิวอักเสบ ส่งผลให้ผิวส่วนที่เป็นสิวนูนขึ้น เป็นสีแดงหรือชมพู บางครั้งอาจมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย
สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
สาเหตุของการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว มักเกิดจากพฤติกรรมที่ไปกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบมาก หรืออาจเกิดจากปัจจัยภายในร่างกาย เช่น
- การบีบสิวหรือแกะสิว ทำให้ผิวเกิดการอักเสบและเกิดแผลลึก
- การขัดผิวแรงเกินไป ทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดการอักเสบมากขึ้น
- ปล่อยให้สิวอักเสบเรื้อรังโดยไม่รักษาอย่างเหมาะสม
- ความแปรปรวนของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยรุ่น หรือก่อนมีประจำเดือน
- ความเครียด ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนไม่สมดุลและกระตุ้นการเกิดสิว
- พันธุกรรม มีผลต่อความรุนแรงของสิวและแนวโน้มการเกิดรอยแผลเป็น
ทำไมต้องรีบรักษารอยแผลเป็นจากสิว

การรีบรักษารอยแผลเป็นจากสิว จะช่วยให้ผิวได้ถูกฟื้นฟูในระยะเวลาที่เหมาะสม ทำให้เราสามารถเห็นผลการรักษาได้ชัดเจนและเร็วกว่าเดิม หากปล่อยทิ้งไว้นาน รอยแผลอาจฝังลึกจนเกิดพังผืดหรือผิวไม่เรียบเนียน ซึ่งรักษาได้ยากและใช้เวลานานขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นถาวร และฟื้นฟูความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว

การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้หมอจะพาไปรู้จักกับ 5 วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่หมอแนะนำ ซึ่งเป็นวิธีที่เห็นผลชัดเจนและช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างรวดเร็ว
ใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็น
การเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินซี, กรดผลไม้ (AHA/BHA), เรตินอล หรือสารไวท์เทนนิ่ง จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดเม็ดสีเมลานิน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยแผลเป็นค่อยๆ จางลงเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง
ทาครีมกันแดดเป็นประจำ
รอยแผลจากสิวมีโอกาสเข้มขึ้นเมื่อโดนรังสี UV หากไม่ได้ปกป้องผิวด้วยครีมกันแดด การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน จะช่วยป้องกันรอยดำคล้ำเพิ่ม และชะลอความเสียหายของผิว
การทำทรีทเมนต์ เช่น การฉีดเมโส หรือ Rejuran
การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นการฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิวโดยตรง เช่น วิตามินหรือสารลดรอยดำ ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและรอยสิวจางเร็วขึ้น ส่วน Rejuran เป็นสารสกัดจาก DNA ปลาแซลมอน ช่วยฟื้นฟูผิวระดับเซลล์ ลดรอยแดง รอยดำ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับผิวที่มีรอยแผลเป็นจากสิวหรือริ้วรอยเริ่มต้น
การฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็ม
ใช้สำหรับหลุมสิวลึกแบบมีพังผืด เช่น Rolling scar โดยการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปใต้หลุม ช่วยยกให้ผิวดูเรียบขึ้น เป็นวิธีที่เห็นผลเร็วแต่ต้องทำซ้ำเป็นระยะ เพราะผลอยู่ได้ชั่วคราว
การเลเซอร์รักษารอยสิว
เป็นหนึ่งในวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว โดยการเลเซอร์จะช่วยให้ร่างกายกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และลดรอยแผลเป็นจากสิวได้เป็นอย่างดี เลเซอร์ที่เหมาะกับการรักษารอยแผลเป็นจากสิว ได้แก่
- Picosecond Laser
คือ เครื่องเลเซอร์ที่ทำงานโดยการปล่อยลำแสงเลเซอร์ลงบนผิวหนัง โดยพลังงานของเลเซอร์จะเข้าไปจัดการเม็ดสีเมลานินให้แตกตัว ซึ่งช่วยลดรอยดำ รอยแดงที่เป็นรอยแผลเป็นจากสิวจางลง - Q-Switched Nd:YAG Laser
เป็นวิธีที่ใช้รักษารอยแผลเป็นจากสิว โดยเฉพาะรอยดำหรือจุดด่างดำ ด้วยการใช้พลังงานเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,064 และ 532 นาโนเมตร ส่งผ่านลงไปยังชั้นผิวหนัง ช่วยสลายเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้รอยดำดูจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้นหลังทำต่อเนื่อง - IPL (Intense Pulsed Light)
เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการรักษารอยสิว โดยการส่งคลื่นแสงไปยังรอยสิว โดยจะเข้าไปทำลายเม็ดสีที่มีความผิดปกติ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น และรอยแผลเป็นจางลง - FRACTIONAL CO2 LASER
เป็นการปล่อยลำแสงช่วงสั้น ๆ ไปตัดและทำลายเนื้อเยื่อตามตำแหน่งที่ต้องการรักษา โดยไม่ทำให้เลือดออก หรือเลือดออกเพียงเล็กน้อย ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวและหลุมสิวจางลง ผิวดูเรียบเนียน และไร้ริ้วรอย - Vbeam laser
เป็นหนึ่งในวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะรอยแดงจากสิว โดย Vbeam laser เป็นเลเซอร์ชนิด Pulsed Dye Laser (PDL) ที่ใช้พลังงานจากแสงความยาวคลื่น 595 นาโนเมตร ยิงไปยังเส้นเลือดใต้ผิวหนัง เพื่อช่วยลดรอยแดง รอยอักเสบ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยเลเซอร์จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและควรดูแลผิวหน้าภายหลังการรักษา และต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
รอยแผลเป็นจากสิว กี่วันหาย?
รอยแผลเป็นจากสิว หากมีความรุนแรงไม่มากนักก็สามารถหายเองได้ตามธรรมชาติ แต่อาจใช้ระยะเวลานานถึง 2-4 เดือน แต่ถ้าหา กรอยแผลเป็นจากสิวที่มีความรุนแรงมาก อาจใช้ระยะเวลาหลายเดือนถึงหลักปี ดังนั้นจึงควรใช้หัตถการทางการแพทย์ในการรักษาควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วขึ้น
How to ดูแลผิวเมื่อเกิดรอยแผลเป็นจากสิว

เมื่อเกิดรอยแผลเป็นจากสิว การดูแลผิวอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้รอยจางลงได้เร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดรอยถาวร โดยควรเริ่มจากการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม ดังนี้
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูรอยแผล เช่น วิตามินซี กรดผลไม้ หรือสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- หมั่นทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อป้องกันไม่ให้รอยเข้มขึ้น จากแสง UV
- หลีกเลี่ยงการบีบ แกะ หรือขัดผิวบริเวณที่เป็นรอยแผล
หากดูแลผิวเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือรอยแผลเป็นลึกและเห็นได้ชัด แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมและปลอดภัย
วิธีป้องกันรอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิวส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันและใช้ระยะเวลาในการรักษานาน การป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลผิวให้เรียบเนียนอยู่เสมอ และลดโอกาสที่ผิวจะเกิดรอยแผลเป็นลงได้ โดยวิธีป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวมีดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกกินผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบและฟื้นฟูผิว
- การทำทรีทเม้นท์ ช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง กระตุ้นการไหลเวียนเลือดและช่วยให้รอยจางลง
- การทาครีม ควรเลือกครีมที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งหรือสารที่ช่วยลดรอยดำและรอยแดงโดยตรง เพื่อให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำก็สำคัญเช่นกัน เพราะแสงแดดสามารถกระตุ้นให้รอยแผลเป็นดูเข้มขึ้นได้ โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป
- การใช้ยาทารักษาแผลเป็น สามารถรักษารอยดำ หลุมสิว และรอยแผลเป็นจากสิวได้ดี รวมถึงช่วยผลัดเซลล์ผิวให้กระจ่างสดใสขึ้นอีกด้วย
- ไม่บีบสิว หรือแกะสิว เป็นวิธีป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวที่ทำได้ไม่ยาก และเห็นผลชัดเจน เนื่องจากการบีบหรือแกะสิวจะทำให้สิวเกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดเป็นรอยแผลเป็นจากสิวได้ง่าย
- การสครับผิวหน้า สามารถช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ทดแทน ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและลดรอยแผลเป็นจากสิวได้
- มาสก์หน้าด้วยสมุนไพรธรรมชาติ การใช้สมุนไพรธรรมชาติ เช่น มะขามเปียก ขมิ้น น้ำผึ้ง และมะนาว นำมามาสก์หน้าจะช่วยลดอาการอักเสบ รวมถึงรอยแผลเป็นจากสิวได้เป็นอย่างดี
คำถามที่พบบ่อย
รอยแผลเป็นจากสิวหายเองได้ไหม?
รอยแผลเป็นจากสิวสามารถหายเองได้ แต่ไม่ทั้งหมดและใช้เวลานาน ต่างจากรอยแดงหรือรอยดำที่สามารถจางลงได้เมื่อเวลาผ่านไป ควรเข้ารักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ เพื่อให้แผลหายเร็วขึ้นและเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากกว่าการปล่อยให้จางเองตามธรรมชาติ
แผลเป็นจากสิวรักษาด้วยเลเซอร์กี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
การเปลี่ยนแปลงของผิวที่ดีขึ้นจะเริ่มสังเกตได้หลังจากการเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิวประมาณ 3–5 ครั้งขึ้นไป โดยควรเว้นระยะห่างการเลเซอร์แต่ละครั้งประมาณ 4–6 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวมีเวลาในการฟื้นฟู
บีบสิวทำให้เป็นรอยแผลจริงไหม?
จริง เพราะการบีบสิวจะกระตุ้นให้ผิวอักเสบ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จึงมีโอกาสที่จะเกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้มากขึ้น
วิตามินช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวได้จริงไหม?
จริง โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินอี และวิตามินเอ ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูผิว และลดรอยดำ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกใช้วิตามินต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม
สรุป
รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากสิวอักเสบรุนแรงหรือพฤติกรรมที่กระตุ้นการอักเสบ เช่น การบีบสิวหรือแกะสิว หากดูแลผิดวิธีอาจกลายเป็นรอยถาวรได้ ใครที่มีปัญหารอยสิวลึก หรือลองมาหลายวิธีแล้วยังไม่ดีขึ้น สามารถเข้ามาปรึกษาหมอได้ที่ ลลิษาคลินิก ที่นี่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง พร้อมเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย ปลอดภัย และเห็นผลจริง สนใจปรึกษาหรือจองคิวได้ที่ Line ID :@lalizaclinic
บทความโดย
ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว
ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ทุกสาขาเลยค่ะ