ลมพิษ เกิดจากอะไรกันแน่? รู้ทันอาการเพื่อรับมือให้ถูกวิธี

ลมพิษ สาเหตุ วิธีรับมือเบื้องต้น

เจาะลึกลมพิษ ผื่นแดง นูนและคันที่ขึ้นตามผิวหนัง สร้างความรำคาญใจให้ใครหลายคน แต่เคยสงสัยไหมว่าเจ้าลมพิษเหล่านี้ที่จริงแล้วเกิดจากอะไรกันแน่? บางครั้งก็เป็น ๆ หาย ๆ บางครั้งก็ขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงสาเหตุของลมพิษ ทั้งปัจจัยกระตุ้นภายนอกและภายใน พร้อมแนะแนวทางวิธีรับมือเบื้องต้น เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจและดูแลตัวเองได้อย่างถูกวิธี

ลมพิษ คืออะไร

ลมพิษ (Urticaria) คือผื่นคันที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง มักมีลักษณะเป็นวงนูนแดงคล้ายรอยแมลงกัด และอาจเกิดขึ้นเฉพาะจุดหรือกระจายทั่วร่างกายก็ได้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นฉับพลันและสามารถหายไปได้เองภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่ทิ้งรอยแผล

ลมพิษเกิดจากสาเหตุอะไร

ลมพิษเกิดจากอะไร

ลมพิษเกิดจากการที่ร่างกายหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) ออกมาในชั้นผิวหนัง ทำให้เส้นเลือดขยายตัวและของเหลวซึมออกมา จนเกิดเป็นผื่นนูนแดงและคัน การกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็น ปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอก ได้ดังนี้

ปัจจัยภายใน

เป็นปัจจัยที่มาจากภายในร่างกายหรือการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเอง เช่น

  • การแพ้อาหารบางชนิด เช่น อาหารทะเล ไข่ นม ถั่วลิสง
  • การติดเชื้อ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย หรือพยาธิในลำไส้
  • โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ โรคแพ้ภูมิตนเอง (autoimmune diseases)
  • ความเครียดและภาวะทางอารมณ์ ซึ่งอาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานผิดปกติ
  • ฮอร์โมนแปรปรวน เช่น ในช่วงมีประจำเดือน หรือวัยทอง

ปัจจัยภายนอก

เป็นสิ่งกระตุ้นจากภายนอกที่มากระทบผิวหรือเข้าสู่ร่างกาย เช่น

  • อุณหภูมิ เช่น ลมพิษจากความเย็น หรือความร้อน
  • แสงแดด บางรายเกิดลมพิษจากการสัมผัสแดด (solar urticaria)
  • สารเคมี/ยา เช่น ยาแก้อักเสบบางชนิด ยาปฏิชีวนะ หรือสารกันบูดในอาหาร
  • แมลงกัดต่อย
  • การสัมผัสกับสิ่งระคายเคือง เช่น น้ำหอม ผงซักฟอก สารในเครื่องสำอาง
  • แรงกดหรือการเสียดสี เช่น การสะพายกระเป๋าแน่น ๆ หรือเสื้อผ้ารัดแน่น

หากลมพิษเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เรื้อรัง หรือไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด หมอแนะนำว่าควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อประเมินเพิ่มเติมและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

ประเภทของผื่นลมพิษ

สามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะการเกิดและระยะเวลาที่เป็น โดยหลัก ๆ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

1. ลมพิษเฉียบพลัน (Acute Urticaria)

เป็นผื่นลมพิษที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และมีอาการต่อเนื่อง ไม่เกิน 6 สัปดาห์ มักมีสาเหตุชัดเจน เช่น การแพ้อาหาร ยา หรือการติดเชื้อ ผื่นมักขึ้นทั่วตัวและคันมาก สามารถหายได้ภายใน 24 ชั่วโมง

2. ลมพิษเรื้อรัง (Chronic Urticaria)

เป็นผื่นลมพิษที่เกิดขึ้นต่อเนื่องหรือเป็น ๆ หาย ๆ นานเกิน 6 สัปดาห์ แม้ผื่นเก่าจะหายไป แต่ผื่นใหม่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มักหาสาเหตุที่แน่ชัดได้ยาก และอาจจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง

ลักษณะอาการของลมพิษ

อาการลมพิษ

ลมพิษเป็นภาวะทางผิวหนังที่แสดงออกได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับสาเหตุและการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคล โดยมีลักษณะอาการที่พบได้บ่อย มีดังนี้

  • ผื่นนูนแดงและคัน: อาการเด่นชัดที่สุดของลมพิษคือ ผื่นขึ้นเป็นปื้น บวมนูน ที่มีขนาดแตกต่างกันไปตั้งแต่ 0.5-10 เซนติเมตร ผื่นมีขอบเขตชัดเจน ไม่มีขุย และมีสีแดงหรือสีชมพู
  • คันอย่างรุนแรงและระคายเคือง: นอกจากผื่นแล้ว อาการที่มาคู่กันคือ อาการคันอย่างมาก ซึ่งสร้างความทรมานและอาจมีอาการระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อน ร่วมด้วย
  • การขึ้นและยุบของผื่น: ลักษณะเฉพาะของลมพิษคือ ผื่นคันที่เกิดขึ้นแล้วหายไปได้เองภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้
  • ผื่นเป็น ๆ หาย ๆ: ในบางรายอาจพบว่า ผื่นคันที่เป็น ๆ หาย ๆ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องยาวนานร่วมเดือน ซึ่งบ่งชี้ถึงลมพิษเรื้อรัง
  • อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย: เช่น บวมที่เปลือกตา ริมฝีปาก มือ เท้า หรือในกรณีรุนแรงอาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ซึ่งเป็นสัญญาณของ ลมพิษชนิดรุนแรงหรือแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) ต้องรีบพบแพทย์ทันที

ลมพิษ รักษาอย่างไร

การรักษาลมพิษ ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของอาการ สิ่งสำคัญคือการค้นหาสาเหตุและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น โดยแนวทางการรักษาได้แก่

1. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น

พยายามสังเกตว่าอาการเกิดขึ้นหลังจากสัมผัสหรือบริโภคสิ่งใด เช่น อาหาร ยา อากาศเย็น ร้อน หรือสารเคมี หากทราบสาเหตุ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นทันที เพื่อลดโอกาสเกิดลมพิษซ้ำ หรือปรึกษาแพทย์ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แน่ชัด เช่น การทดสอบภูมิแพ้ (Skin prick test) หรือการตรวจเลือด

2. ใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ

ยาที่ใช้รักษาลมพิษหลัก ๆ คือยาแก้แพ้กลุ่มต้านฮีสตามีน (Antihistamines) เช่น cetirizine, loratadine, fexofenadine เป็นการรักษาหลักในลมพิษทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ยากลุ่มนี้มีความปลอดภัยสูง และสามารถใช้ได้ระยะยาวในลมพิษเรื้อรัง หากอาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาเพิ่มยาหรือเปลี่ยนเป็นยากลุ่มใหม่ เช่น ยาเฉพาะทาง เช่น Omalizumab สำหรับรายที่ดื้อยา

3. ดูแลตนเองเบื้องต้น

การดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันช่วยลดความรุนแรงของอาการ เช่น หลีกเลี่ยงการเกาหรือขัดผิวแรง ๆ เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการติดเชื้อซ้ำซ้อน สามารถประคบเย็นบริเวณที่คันเพื่อลดอาการ หรืออาบน้ำอุณหภูมิปกติ หลีกเลี่ยงน้ำร้อนจัด การสวมเสื้อผ้าหลวม ระบายอากาศได้ดี ก็ช่วยลดการเสียดสีและอาการลมพิษได้เช่นกัน

4. พบแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้น

หากลมพิษเกิดขึ้นซ้ำบ่อย มีอาการเรื้อรังเกิน 6 สัปดาห์ หรือใช้ยาแก้แพ้แล้วยังไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและประเมินความรุนแรงของโรค โดยเฉพาะหากมีอาการบวมที่ลิ้น ริมฝีปาก หรือหายใจลำบาก เพราะอาจเป็นอาการของการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนในโรงพยาบาล

ลมพิษ กี่วันหาย

ลมพิษเฉียบพลัน มักหายได้ใน 1–2 วัน หรือภายใน ไม่เกิน 6 สัปดาห์ ถ้าเป็นลมพิษเรื้อรัง อาจมีอาการต่อเนื่องได้เป็นเดือนหรือเป็นปี

ลมพิษกลางคืน แก้ยังไง

ลมพิษที่กำเริบตอนกลางคืนเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ลดลง อุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้น หรือปัจจัยกระตุ้นในที่นอน วิธีแก้เบื้องต้นคือรับประทานยาแก้แพ้ก่อนนอน, ประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการ, ทำความสะอาดห้องนอนและเครื่องนอนเพื่อลดไรฝุ่นหรือสารก่อภูมิแพ้ รวมถึงการจัดการความเครียด

หากอาการรุนแรงหรือรบกวนการนอนหลับมาก ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติมและปรับแผนการรักษา เช่น ปรับยาให้เหมาะกับเวลาที่อาการกำเริบ หรือประเมินว่าเข้าข่ายลมพิษเรื้อรังหรือไม่

ลมพิษติดต่อกันได้ไหม

ลมพิษเป็นปฏิกิริยาของผิวหนังที่เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคลต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ไม่ใช่โรคติดเชื้อที่สามารถแพร่จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการแพร่เชื้อจากผู้ป่วยลมพิษ

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?

ลมพิษที่ควรไปพบแพทย์
  • เมื่อมีอาการลมพิษครั้งแรก โดยเฉพาะหากไม่ทราบสาเหตุ
  • เมื่อมีอาการรุนแรงขึ้น หรือมีอาการบวมที่ริมฝีปาก เปลือกตา ลิ้น (Angioedema) ซึ่งอาจทำให้รู้สึกแน่น หายใจลำบาก
  • เมื่อมีอาการร่วมกับหายใจลำบาก แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ ปวดท้อง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
  • เมื่ออาการไม่ดีขึ้น หรือเป็น ๆ หาย ๆ นานเกิน 6 สัปดาห์

วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อเป็นลมพิษ

วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น
  1. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น งดอาหาร ยา หรือสิ่งที่สงสัยว่าเป็นต้นเหตุของลมพิษทันที
  2. กินยาแก้แพ้ โดยใช้ยาแก้แพ้กลุ่มต้านฮีสตามีนเพื่อลดอาการคันและผื่น
  3. ประคบเย็นหรืออาบน้ำเย็น จะช่วยบรรเทาอาการคันและลดการอักเสบของผิว
  4. ใส่เสื้อผ้าสบาย ไม่รัดแน่น ระบายอากาศดี ลดการระคายเคืองผิว
  5. หลีกเลี่ยงการเกา เพราะการเกาอาจทำให้ผื่นลุกลามและเสี่ยงติดเชื้อ

สรุป

ลมพิษแม้จะดูเป็นอาการไม่รุนแรง แต่ก็สามารถรบกวนชีวิตประจำวันได้ไม่น้อย การทำความเข้าใจสาเหตุ การสังเกตอาการ และการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีตั้งแต่เบื้องต้น จะช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คนไข้ท่านใดที่กำลังเผชิญกับลมพิษที่เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง หรือมีอาการรุนแรง เช่น บวมที่ใบหน้า ลิ้น หรือหายใจลำบาก ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังหรือภูมิแพ้ เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำและการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ตรงจุด หรือสามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ผิวหนังได้ที่ ลลิษาคลินิก พร้อมให้บริการดูแลปัญหาลมพิษและโรคผิวหนังอื่น ๆ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลลมพิษ

dermnetnz. Author and DermNet Editor-in-Chief: Dr Amanda Oakley, Dermatologist, Hamilton, New Zealand. Urticaria (Hives): a complete overview
https://dermnetnz.org/topics/urticaria-an-overview

mayoclinic. Chronic hives – Symptoms and causes. By Mayo Clinic Staff
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/chronic-hives/symptoms-causes/syc-20352719

nhs. Hives
https://www.nhs.uk/conditions/hives/

บทความโดย

ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว

ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ทุกสาขา