หูด เกิดจากอะไร? รักษาอย่างไรไม่ให้ลุกลาม

หูดเกิดจากอะไร? รักษาอย่างไรไม่ให้ลุกลาม

หนึ่งในปัญหาผิวหนังที่พบได้บ่อยและสร้างความรำคาญใจให้ใครหลายคน รู้ไหมว่า หูดเกิดจากอะไร? ทำไมบางคนเป็นง่ายกว่าคนอื่น? และที่สำคัญ เราจะป้องกันและรักษามันได้อย่างไร? บทความนี้หมอตาลจะพาไปทำความรู้จักกับหูดคืออะไรอย่างละเอียด มีวิธีรักษาหูดอย่างไรบ้าง? ตั้งแต่ต้นตอของปัญหา สัญญาณเตือนที่ผิวหนัง ไปจนถึงวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง เพื่อให้ทุกคนมีผิวที่แข็งแรงและห่างไกลจากหูดกวนใจ

หูด คืออะไร?

หูด

หูด (wart) คือโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) ทำให้เซลล์ผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อหนาตัวขึ้นและแข็งตัว หูดสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย

หูด มีกี่ลักษณะ

ลักษณะหูด

หูดมีหลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสและบริเวณที่เกิด โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่ม ดังนี้

  • หูดธรรมดา เป็นตุ่มนูนแข็ง ผิวขรุขระเล็กน้อย สีเดียวกับผิวหนังหรืออาจเป็นสีดำ มีได้ทั้งเม็ดเดียวหรือหลายเม็ด
  • หูดผิวเรียบ มีลักษณะเป็นตุ่มแบน ๆ ผิวเรียบเนียน สีเหมือนผิวหนังทั่วไป
  • หูดที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า จะเป็นปื้นหนาแข็งฝังอยู่ในเนื้อ มักมีสีค่อนข้างเหลือง และจะรู้สึกเจ็บเวลาเดินหรือกดทับ
  • หูดที่อวัยวะเพศ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสูง คล้ายหงอนไก่ พบได้ที่บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก และขาหนีบ
  • หูดที่เป็นติ่งเนื้อแข็งยื่นจากผิวหนัง เป็นตุ่มขรุขระแต่ยาวคล้ายนิ้วมือเล็ก ๆ จะพบบริเวณใบหน้าและลำคอ

หูด เกิดจากสาเหตุอะไร

หูดเกิดจากโรคติดต่อผ่านการสัมผัสเป็นหลัก โดยเชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายผ่านผิวหนังที่มีบาดแผล รอยถลอก หรือรอยขีดข่วนต่าง ๆ รวมถึงการเสียดสี การสัมผัสถูกผิวหนังที่เป็นหูดโดยตรง หรือแม้แต่การหยิบจับสิ่งของที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนอยู่ นอกจากนี้ การแกะเกาหูดยังทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้อีกด้วย

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นหูด

หูดเกิดได้กับทุกคน แต่มีบางกลุ่มที่อาจมีโอกาสเป็นหูดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

  • เด็กเล็ก
    มีแนวโน้มที่จะเป็นหูดธรรมดาได้บ่อยกว่า เพราะระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขายังพัฒนาไม่เต็มที่
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
    เช่น ผู้ที่เคยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ติดเชื้อ HIV หรือเอดส์ หรือผู้ที่ทานยากดภูมิคุ้มกันอยู่ กลุ่มคนเหล่านี้จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นหูดได้ง่ายและอาจรักษาหายยากกว่าคนปกติ

ควรไปหาหมอเมื่อใด

ควรไปพบหมอเมื่อหูดเริ่มทำให้รู้สึกเจ็บหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ หากสังเกตเห็นว่ารูปร่างหรือสีของหูดมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หรือหูดเริ่มแพร่กระจายมากขึ้น รวมถึงกลับมาเป็นซ้ำบ่อย ๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ก็ควรรีบไปปรึกษาหมอเช่นกัน และถ้าไม่แน่ใจว่าตุ่มที่เกิดขึ้นบนผิวหนังคือหูดหรือไม่ การไปพบหมอเพื่อตรวจวินิจฉัยก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง

การวินิจฉัยโรคหูด เมื่อไปพบหมอผิวหนัง

โดยปกติแล้ว หมอสามารถวินิจฉัยหูดได้จากการตรวจร่างกาย อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่ตุ่มมีลักษณะไม่ชัดเจน หรือไม่แน่ใจว่าเป็นหูดหรือไม่ หมออาจทำการตรวจเพิ่มเติม

  • ขูดผิวหูด
    หมอจะขูดผิวหนังด้านบนของตุ่มออกเล็กน้อย เพื่อดูว่ามี จุดสีดำ หรือไม่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของหูดธรรมดา
  • ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
    หากยังไม่แน่ใจ หมออาจพิจารณาตัดชิ้นเนื้อเล็ก ๆ จากตุ่มไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อยืนยันการวินิจฉัย และแยกแยะว่าไม่ใช่ตุ่มผิวหนังชนิดอื่น

วิธีรักษาหูด โรคผิวหนังที่ไม่ควรละเลย

วิธีรักษาหูด

การรักษาหูดมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของหูด รวมถึงการตอบสนองต่อการรักษาของแต่ละบุคคล หมอจะพิจารณาวิธีที่เหมาะสมที่สุดให้คนไข้

  1. การทายา
    ใช้ยาที่มีส่วนผสมของกรด เช่น กรดซาลิซิลิก กรดแลคติก หรือกรดไตรคลออะซิติก วิธีนี้ต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าจะหาย และควรให้หมอสั่งยาและแนะนำการใช้ ไม่ควรทายาเอง
  2. การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy)
    เป็นการใช้ไนโตรเจนเหลวไปจี้ที่หูด วิธีนี้ได้ผลดีกับหูดที่ไม่ใหญ่มาก ระหว่างการจี้ คนไข้อาจรู้สึกเจ็บหรือแสบ หลังจากนั้นบริเวณที่จี้อาจพองเป็นตุ่มน้ำและค่อย ๆ แห้งลง กลายเป็นสะเก็ด และหายไปภายใน 1-3 สัปดาห์ อาจต้องจี้ซ้ำหลายครั้งจนกว่าหูดจะหายสนิท
  3. การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrocautery)
    เป็นการใช้ความร้อนทำลายเนื้อหูด วิธีนี้ได้ผลค่อนข้างดี แต่มีโอกาสทิ้งรอยแผลเป็นได้
  4. การรักษาด้วยเลเซอร์
    เป็นการใช้แสงเลเซอร์จี้หูดโดยตรง วิธีนี้ได้ผลดี แต่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
  5. การผ่าตัด
    เป็นการผ่าตัดนำก้อนหูดออก เหมาะสำหรับหูดที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น
  6. การทายาเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (DCP)
    ใช้ในกรณีที่การรักษาแบบอื่นไม่ได้ผล หรือมีหูดในปริมาณมาก การรักษาด้วยวิธีนี้ใช้เวลานานหลายเดือน และต้องมาทายาที่โรงพยาบาลทุกสัปดาห์ช

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นหูด ด้วยตัวเองที่บ้าน

ใช้แผ่นแปะ และยาน้ำที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก ทาทุกวันต่อเนื่อง 2-3 สัปดาห์ ก่อนทาควรแช่หูดในน้ำอุ่น แล้วใช้ตะไบเล็บแบบใช้แล้วทิ้งค่อย ๆ ขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก หากรู้สึกระคายเคือง ให้เว้นระยะเวลาในการทายาให้นานขึ้น

การป้องกัน เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ

หูดสามารถรักษาให้หายได้ แต่บางครั้งอาจใช้เวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปีเลยทีเดียว และถึงแม้จะรักษาหายแล้ว หูดก็ยังกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ดังนั้น สิ่งสำคัญคือควรรีบรักษาและป้องกันไม่ให้หูดแพร่กระจาย

  • รีบพบหมอทันที: หากสังเกตเห็นหูด ควรรีบไปพบหมอเพื่อรับการรักษาโดยเร็ว การทำแบบนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้หูดแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย และลดโอกาสที่จะแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นด้วย
  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง: การมีสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ รักษาร่างกายให้แข็งแรงด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแรงให้ร่างกาย
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยง: หากอีกฝ่ายเป็นหูดหงอนไก่ ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • ฉีดวัคซีนป้องกัน HPV: การฉีดวัคซีน HPV สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อหูดบางสายพันธุ์ที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ปัจจุบันวัคซีนนี้ได้รับการรับรองให้ใช้ได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย

คำถามที่พบได้บ่อย – FAQ

ทำยังไงให้หูดหลุด

ปรึกษาหมอเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม เช่น ทายา, จี้ด้วยความเย็น/ไฟฟ้า, หรือผ่าตัดเล็ก ห้ามแกะเกาเองเด็ดขาด เพราะอาจแพร่เชื้อได้ หากหูดใหญ่ เจ็บ หรือแพร่กระจาย ควรรีบพบหมอ แม้บางกรณีหูดอาจหายเองได้

อาการเริ่มแรกของหูดคืออะไร

เริ่มจากตุ่มเล็ก ๆ บนผิว อาจแบนหรือนูนขรุขระ จะมีจุดดำเล็ก ๆ (เส้นเลือดอุดตัน) หูดเม็ดข้าวสุกจะเป็นตุ่มนูนบุ๋มตรงกลาง พบในเด็ก/ภูมิคุ้มกันต่ำ แรก ๆ มักไม่เจ็บ ยกเว้นหูดที่ฝ่าเท้าหรือบริเวณที่ถูกกดทับ

หูดปล่อยไว้นานเป็นไรไหม

หูดไม่ร้ายแรง แต่ถ้าปล่อยไว้จะขยายใหญ่ขึ้น แพร่กระจาย และติดต่อผู้อื่นได้ หูดบางชนิด (เช่น หูดหงอนไก่) อาจเสี่ยงเป็นมะเร็งในระยะยาวได้หากไม่รักษา หากหูดเจ็บ ปวด หรือเปลี่ยนรูปร่าง/สี ควรรีบพบหมอ การปล่อยไว้ส่งผลต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิต

สรุป

หูดเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV ซึ่งสามารถรักษาได้หลากหลายวิธี ตั้งแต่การทายา การจี้ด้วยความเย็น ไปจนถึงเลเซอร์และการผ่าตัด การป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขอนามัย รักษาภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อโรค

หากพบหูดบนผิวหนัง ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจแพร่กระจายหรือติดต่อไปยังคนอื่นได้ การรีบพบหมอผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่ลลิษาคลินิก มีหมอผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังพร้อมให้การรักษาหูดด้วยการใช้เลเซอร์จี้หูด และพร้อมให้คำแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังทำที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ทุกคนมีผิวหนังที่สุขภาพดีและมั่นใจอีกครั้ง

แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลหูด

clevelandclinic.
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/15045-warts

webmd. Written by Karyn RepinskiMedically Reviewed by Jabeen Begum, MD on June 18, 2025
https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/ss/slideshow-warts

healthline. Medically reviewed by Megan Slomka, MSN, APRN, FNP-C. Written by Elea Carey. Updated on June 16, 2025.
https://www.healthline.com/health/skin/warts

บทความโดย

ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว

ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ทุกสาขา