คลินิกรักษาสิว โดยแพทย์โรคผิวหนังโดยเฉพาะ
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) เกิดจากอะไร รักษาอย่างไรถึงได้ผล
สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวหนังที่หลายคนต้องเผชิญและสร้างความรำคาญใจให้กับหลาย ๆ คน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียนและมีรอยแดง แต่ยังสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและทิ้งรอยแผลเป็นได้ สิวอักเสบมักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้การอักเสบลุกลามและยากต่อการรักษา หากคุณกำลังประสบปัญหาสิวอักเสบ การเข้าใจถึงสาเหตุและวิธีการจัดการอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยลดความรุนแรงและป้องกันการเกิดซ้ำได้
บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยเกี่ยวกับสิวอักเสบ วิธีการป้องกันและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยให้คุณสามารถจัดการกับสิวอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพและคืนความมั่นใจให้กับผิวพรรณของคุณ มาร่วมค้นหาวิธีการดูแลผิวที่ถูกต้องและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการมีผิวสวยใสไร้สิวกันเถอะ
รู้จัก สิวอักเสบ คืออะไร ?
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) คือปัญหาผิวหนังที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน และมีการติดเชื้อแบคทีเรียตามมา ทำให้เกิดการอักเสบและบวมแดง สิวอักเสบมักมีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ และอาจมีหนองอยู่ภายใน ซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและเสี่ยงต่อการทิ้งรอยแผลเป็นหลังจากการหาย
สิวอักเสบเกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนอุดตันจากน้ำมันส่วนเกิน, เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรก ทำให้แบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) เจริญเติบโตและก่อให้เกิดการอักเสบของรูขุมขน สิวอักเสบสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น สิวตุ่มแดง (Papules), สิวหนอง (Pustules), สิวหัวช้าง (Nodules), และสิวซีสต์ (Cysts) แต่ละประเภทมีระดับความรุนแรงและวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน
สิวอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร ?
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) เป็นปัญหาผิวหนังที่สร้างความรำคาญและความไม่สบายใจให้กับผู้ที่ประสบปัญหา สิวอักเสบเกิดจากหลายสาเหตุที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
- เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน
เมื่อรูขุมขนอุดตันจากน้ำมันส่วนเกิน, เซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกที่สะสม ร่วมกับมีแบคทีเรียเจริญเติบโตในรูขุมขนจนทำให้เกิดการอักเสบของรูขุมขนตามมากลายเป็นเม็ดสิว
- เกิดจากฮอร์โมน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ในช่วงวัยรุ่น, ช่วงตั้งครรภ์ หรือช่วงมีประจำเดือน สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิวหนังมากขึ้น ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวอักเสบได้
- เกิดจากอาหารที่รับประทาน
การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง, ไขมันสูง หรือผลิตภัณฑ์นม มีส่วนในการเพิ่มการผลิตน้ำมันในผิวหนังและกระตุ้นการอักเสบ สามารถกระตุ้นการเกิดสิวอักเสบได้
- เกิดจากแบคทีเรีย
แบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนสามารถเจริญเติบโตและสร้างสารที่กระตุ้นการอักเสบ ทำให้เกิดสิวอักเสบ
- เกิดจากการทำความสะอาดไม่เพียงพอ
การไม่ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ หรือล้างเครื่องสำอางออกไม่หมด ทำให้สิ่งสกปรกและน้ำมันสะสมในรูขุมขน ส่งผลให้เกิดการอุดตันและกลายเป็นสิวอักเสบ
- เกิดจากพันธุกรรม
พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญต่อการผลิตน้ำมันของต่อมไขมัน และความไวต่อการอุดตันของรูขุมขน หากมีประวัติคนครอบครัวที่มีปัญหาสิว ความเสี่ยงในการเกิดสิวอักเสบจะสูงขึ้น
- เกิดจากการบีบสิวที่ผิดวิธี
การบีบหรือกดสิวที่ไม่ถูกวิธี สามารถทำให้สิวเกิดการอักเสบมากขึ้น นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการทิ้งรอยแผลเป็น
- เกิดจากการใช้ยา
ยาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ หรือยาคุมกำเนิดบางประเภท สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิวหนังและทำให้เกิดสิวอักเสบ
- เกิดจากความเครียด
ความเครียดทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิวหนังมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนและเกิดสิวอักเสบ
การรักษาสิวอักเสบ มีวิธีอะไรบ้าง ?
สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวที่ต้องการการดูแลและรักษาอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันการอักเสบเพิ่มเติม และลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็น การรักษาสิวอักเสบสามารถทำได้หลากหลายวิธี ดังนี้
การรักษาสิวอักเสบเองแบบทั่วไป
- ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิวและไม่มีสารเคมีที่รุนแรง เช่น ซัลเฟตหรือแอลกอฮอล์
- ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินที่สะสมบนผิวหน้า
- หลีกเลี่ยงการขัดผิวแรง ๆ
- ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่อ่อนโยน และหลีกเลี่ยงการขัดผิวบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้สิวแย่ลง
- การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่อุดตันรูขุมขน
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่อุดตันรูขุมขน หรือ “non-comedogenic”
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันมากเกินไป
- การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์หรือกรดซาลิไซลิก
- Benzoyl Peroxide ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว
- Salicylic acid ช่วยละลายสิ่งอุดตันในรูขุมขนและลดการอักเสบ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ
- มือเป็นแหล่งรวมของเชื้อแบคทีเรีย หากสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ จะเพิ่มโอกาสในการเกิดสิว
- หลีกเลี่ยงการบีบหรือกดสิว เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบและเป็นแผลเป็น
- การใช้โทนเนอร์และเอสเซนส์
- ช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิวหน้าและเตรียมผิวให้พร้อมรับสารบำรุง
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยลดการอักเสบ
- การใช้เซรั่มและครีมบำรุงผิวเฉพาะจุด
- เซรั่มและครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide), วิตามินซี (Ascorbic acid) หรือสารสกัดจากชาเขียว (Green tea extract) หรือน้ำมันทีทรี (Tea Tree Oil) ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
การรักษาสิวอักเสบโดยใช้ยาแบบทา
การใช้ยาแบบทาเป็นวิธีที่นิยมในการรักษาสิวอักเสบ เพราะสามารถใช้ได้ง่ายและตรงจุด
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) : ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว ลดการอักเสบและทำให้สิวยุบเร็วขึ้น
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) : ช่วยละลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน ลดการอักเสบ และผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- เรตินอยด์ (Retinoids) : ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน และลดการอักเสบ
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic Creams) : ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบของสิว
รักษาสิวอักเสบด้วยยารับประทาน
การใช้ยารับประทาน มักใช้ในกรณีที่สิวอักเสบรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาทา
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) : เช่น Doxycycline หรือ Minocycline ช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
- ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) : ใช้ในกรณีสิวอักเสบรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ช่วยลดการผลิตน้ำมันในผิวและลดการอักเสบ
- ยาคุมกำเนิด (Oral Contraceptives) : สำหรับผู้หญิง ยาคุมกำเนิดสามารถช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและลดการเกิดสิว
การรักษาสิวอักเสบด้วยเทคโนโลยี
การรักษาสิวอักเสบด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นทางเลือกเสริมที่สามารถช่วยลดการอักเสบและรอยแผลเป็นจากสิวได้
- เลเซอร์รักษาสิว : ช่วยลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- การทำทรีทเมนต์หน้า :เช่น การทำไมโครเดอร์มาเบรชัน (Microdermabrasion) และการทำเคมีพีลลิ่ง (Chemical Peeling) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดรอยแผลเป็น
- การบำบัดด้วยแสง (Phototherapy) : ใช้แสงความเข้มสูง ได้แก่ แสงสีฟ้า (Blue Light) และแสงสีแดง (Red Light) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว และช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการฟื้นฟูของเซลล์ผิว
- Intense Pulsed Light (IPL) : ใช้แสงความเข้มสูงหลายช่วงคลื่น เพื่อช่วยลดการอักเสบและการผลิตน้ำมันบนผิวหน้า
- Radiofrequency (RF) Therapy : ใช้คลื่นความถี่วิทยุเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูของผิวและลดการอักเสบ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงสภาพผิว
- Micro-needling with RF : การรวมการทำ Micro-needling กับคลื่นความถี่วิทยุ ช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูของเซลล์ผิว ลดรอยแผลเป็นและการอักเสบจากสิว
ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรักษาสิวอักเสบ
การรักษาสิวอักเสบอย่างมีประสิทธิภาพอาจต้องอาศัยการดูแลและคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง ซึ่งสามารถประเมินถึงสาเหตุที่แท้จริง ประเมินสภาพผิว และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้คุณได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และลดความเสี่ยงในการเกิดสิวอักเสบรุนแรง และรอยแผลเป็นจากสิวได้
ลลิษา คลินิก พร้อมให้คำปรึกษาและการดูแลรักษาสิวอักเสบได้อย่างครบวงจร โดยทีมแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางและเชี่ยวชาญ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและวิธีการรักษาที่หลากหลาย ที่พร้อมจะช่วยให้คุณกลับมามีผิวที่สวยใสไร้สิวและมั่นใจอีกครั้ง
ทำไมบางคนสิวอักเสบขึ้นเรื่อยๆ และขึ้นไม่หยุด เพราะสาเหตุอะไร ?
อาจเกิดจากหลายสาเหตุหลักที่ยังไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ทั้งการอุดตันของรูขุมขนและการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย หรือการยังคงมีปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ อยู่ จึงส่งผลให้สิวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในการจัดการกับสิวอักเสบอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเริ่มจากการแก้ไขสาเหตุที่แท้จริง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ และหากสิวอักเสบไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม
สิวอักเสบสามารถเกิดที่ตำแหน่งไหนได้บ้าง ?
สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวหนังที่สามารถเกิดขึ้นได้หลายตำแหน่งบนร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่มีการผลิตน้ำมันมากและมีการอุดตันของรูขุมขน โดยตำแหน่งหลักที่มักเกิดสิวอักเสบได้แก่
- สิวอักเสบเกิดที่แก้ม: มักเกิดจากการสัมผัสสิ่งสกปรกบ่อยครั้ง เช่น มือ, โทรศัพท์มือถือ หรือหมอนที่ไม่สะอาด และการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารเคมีระคายเคืองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบที่แก้มได้
- สิวอักเสบเกิดที่หลัง: มักเกิดจากการสะสมของเหงื่อและสิ่งสกปรกหลังการออกกำลังกาย, การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่มีน้ำมันหรือสารเคมีที่ระคายเคือง และการสวมใส่เสื้อผ้าที่แน่นหรือระบายอากาศไม่ดี
- สิวอักเสบเกิดที่คาง: มักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้หญิงในช่วงรอบเดือน หรือเกิดจากการใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ และการสวมหน้ากากอนามัย ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรก
- สิวอักเสบเกิดที่จมูก: เกิดจากการผลิตน้ำมันส่วนเกินในบริเวณนี้มากกว่าบริเวณอื่น ๆ ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนและการสะสมของแบคทีเรียได้ง่าย
- สิวอักเสบเกิดที่หน้าผาก: หน้าผากอยู่ในบริเวณ ทีโซน (T-Zone) ซึ่งมีจำนวนต่อมไขมันที่มากกว่าบริเวณอื่น จึงทำให้สิวขึ้นหน้าผากได้ง่าย และมักเกิดจากการสะสมของเหงื่อและสิ่งสกปรก, การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่มีสารเคมีระคายเคือง, การใส่หมวกหรือผ้าโพกหัวที่ไม่สะอาด และความเครียด
- สิวอักเสบเกิดที่กรอบหน้าและขากรรไกร: มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน, การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม, การสัมผัสใบหน้าอย่างบ่อยครั้ง และการสะสมของแบคทีเรีย
อาการของสิวอักเสบ มีอะไรบ้าง ?
สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อและการอักเสบภายในรูขุมขน โดยมีอาการเริ่มจากตุ่มเล็ก ๆ สีแดงบนผิวหนังที่เกิดจากการอักเสบและไม่มีหัวหนอง บริเวณที่มีสิวอักเสบมักจะบวมขึ้นจากการสะสมของเซลล์อักเสบและของเหลวภายในรูขุมขน ในกรณีที่สิวอักเสบรุนแรงขึ้น อาจเห็นหัวหนองสีขาวหรือเหลืองซึ่งเกิดจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มาต่อสู้กับการติดเชื้อในรูขุมขน
สิวอักเสบมักทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเมื่อสัมผัส โดยเฉพาะสิวที่มีขนาดใหญ่และลึกลงไปในชั้นผิวหนัง ผิวหนังรอบ ๆ สิวอักเสบมักมีรอยแดงเนื่องจากการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยในบริเวณที่มีการอักเสบ บางครั้งสิวอักเสบจะมีลักษณะแข็งเนื่องจากการสะสมของเซลล์อักเสบและหนองที่อยู่ลึกในชั้นผิวหนัง
สิวอักเสบมีกี่ประเภท แต่ละประเภทรุนแรงขนาดไหน
สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวหนังที่สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันดังนี้
- สิวอักเสบแบบตุ่มนูนแดง (Papule):
- ลักษณะ: เป็นตุ่มเล็ก ๆ สีแดงที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน ไม่มีหัวหนอง และมีอาการเจ็บปวดเล็กน้อยเมื่อสัมผัส
- ความรุนแรง: มักไม่รุนแรงมาก แต่สามารถพัฒนาไปเป็นสิวประเภทอื่น ๆ ได้หากไม่ได้รับการรักษา
- การรักษา: ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid หรือ Benzoyl Peroxide เพื่อช่วยลดการอักเสบ
- สิวอักเสบไม่มีหัว:
- ลักษณะ: เป็นสิวที่มีลักษณะบวมแดงและเจ็บปวด แต่ไม่มีหัวหนองชัดเจน
- ความรุนแรง: มักมีความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง แต่สามารถทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและอักเสบ
- การรักษา: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid หรือBenzoyl Peroxide หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม
- สิวอักเสบหัวหนอง (Pustule):
- ลักษณะ: เป็นตุ่มที่มีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยผิวหนังที่บวมแดง
- ความรุนแรง: มีความรุนแรงปานกลาง และอาจทิ้งรอยแผลเป็นหากบีบหรือกด
- การรักษา: ใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide หรือยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ หากมีการอักเสบรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะแบบรับประทาน
- สิวอักเสบหัวช้าง (Acne Conglobata):
- ลักษณะ: เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นก้อนใหญ่ มีการอักเสบอย่างรุนแรงและเชื่อมต่อกันหลายจุด มักมีหัวหนองและเจ็บปวดมาก
- ความรุนแรง: รุนแรงมาก และมักทิ้งรอยแผลเป็นลึกหลังจากหาย
- การรักษา: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาแบบเฉพาะ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะแบบรับประทานหรือการใช้ยาในกลุ่มเรตินอยด์ที่มีความเข้มข้นสูง
- สิวอักเสบแบบตุ่มใหญ่ (Nodules):
- ลักษณะ: เป็นตุ่มขนาดใหญ่และลึกลงไปในชั้นผิวหนัง มีลักษณะแข็งและเจ็บปวดมาก
- ความรุนแรง: รุนแรงมาก และมักทิ้งรอยแผลเป็นหลังจากหายแล้ว
- การรักษา: ใช้ยาปฏิชีวนะแบบรับประทานหรือการใช้ยาในกลุ่มเรตินอยด์ หากตุ่มมีขนาดใหญ่และเจ็บปวดมากอาจต้องการการรักษาด้วยการฉีดสเตียรอยด์
- สิวซีสต์ (Cysts):
- ลักษณะ: เป็นตุ่มขนาดใหญ่ที่มีหนองอยู่ภายใน ลึกลงไปในชั้นผิวหนัง และมีอาการเจ็บปวดมาก
- ความรุนแรง: รุนแรงมาก และมีความเสี่ยงสูงต่อการทิ้งรอยแผลเป็นลึกหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
- การรักษา: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาแบบเฉพาะ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะแบบรับประทาน ยาในกลุ่มเรตินอยด์ หรือการฉีดสเตียรอยด์ในสิวซีสต์
สิวอักเสบแตกต่างจากสิวแบบอื่นอย่างไร ?
สิวอักเสบมักมีการอักเสบและบวมแดงอย่างชัดเจน ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ทำให้ตุ่มสิวมักมีขนาดใหญ่และลึกลงไปในผิวหนัง นอกจากนี้ สิวอักเสบมักมีอาการเจ็บปวดเมื่อสัมผัส โดยเฉพาะสิวที่มีขนาดใหญ่และลึก เช่น สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ ซึ่งสิวประเภทนี้มักมีหนองอยู่ภายในจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มาต่อสู้กัน
สิวอักเสบมีความเสี่ยงสูงในการทิ้งรอยแผลเป็น โดยเฉพาะสิวที่มีขนาดใหญ่และลึก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจทิ้งรอยแผลเป็นลึกที่รักษายาก ซึ่งแตกต่างจากสิวไม่อักเสบ เช่น สิวหัวดำและสิวหัวขาว ที่ไม่มีการอักเสบและบวมแดง และมักไม่มีอาการเจ็บปวด และมีความเสี่ยงน้อยกว่าในการทิ้งรอยแผลเป็น
การรักษาสิวอักเสบมักต้องใช้เวลานานกว่าและอาจต้องใช้ยาทาหรือยารับประทาน รวมถึงวิธีการรักษาอื่น ๆ เช่น เลเซอร์หรือการฉีดยา ขณะที่สิวไม่อักเสบสามารถรักษาได้ง่ายกว่าโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขน
ผลกระทบของสิวอักเสบมีอะไรบ้าง ?
- รอยแผลเป็น: สิวอักเสบมักทิ้งรอยแผลเป็นที่ลึกและชัดเจนบนผิวหนังหลังจากการหาย อาจเป็นทั้งรอยหลุม, รอยนูน หรือรอยแดง ซึ่งทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียนและยากต่อการรักษา
- ภาวะวิตกกังวล: สิวอักเสบสามารถทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอก ส่งผลให้รู้สึกไม่มั่นใจและเครียดมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือความเครียดเรื้อรังได้
- ความเจ็บปวด: สิวอักเสบมักมีอาการเจ็บปวดเมื่อสัมผัส โดยเฉพาะสิวที่มีขนาดใหญ่และลึก เช่น สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและมีความเจ็บปวดตลอดเวลา
- การอักเสบเรื้อรัง: หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี สิวอักเสบสามารถพัฒนาเป็นการอักเสบเรื้อรัง ทำให้ปัญหาสิวไม่หายขาดและกลับมาเกิดซ้ำเรื่อย ๆ
- ความเสียหายต่อผิวหนัง: สิวอักเสบที่รุนแรงอาจทำให้ผิวหนังเสียหายอย่างถาวร โครงสร้างผิวถูกทำลายและการฟื้นตัวของผิวช้าลง
- การใช้จ่ายในการรักษา: การรักษาสิวอักเสบที่รุนแรงมักต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว, การปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง และการรักษาร่องรอยจากการเป็นสิว เช่น รอยดำ, รอยแดง หรือหลุมสิว
วิธีป้องกันไม่ให้มีสิวอักเสบขึ้น
- ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน เพื่อขจัดน้ำมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกที่สะสมในรูขุมขน
- ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฉลาก “Non-Comedogenic” เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหรือสารเคมีที่ระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าด้วยมือที่ไม่สะอาด: มือเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรก การสัมผัสผิวหน้าด้วยมือที่ไม่สะอาดอาจนำเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่รูขุมขนและทำให้เกิดสิวอักเสบ
- หลีกเลี่ยงการบีบหรือกดสิวด้วยตนเอง: การบีบหรือกดสิวอย่างไม่ถูกต้อง อาจทำให้การอักเสบแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงในการทิ้งรอยแผลเป็น ควรปล่อยให้สิวยุบเองหรือปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
- ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสม: การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการอุดตันช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวและป้องกันการระคายเคือง
- รักษาความสะอาดของเครื่องนอน: เปลี่ยนปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันการสะสมของน้ำมันและสิ่งสกปรกที่อาจทำให้เกิดสิว
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เส้นผมที่มีน้ำมัน: ผลิตภัณฑ์เส้นผมที่มีน้ำมันหรือสารเคมีที่ระคายเคืองสามารถไหลลงมาสัมผัสผิวหน้าและทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนได้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน: เลือกใช้เครื่องสำอางที่ระบุว่า “Non-Comedogenic” เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน และควรล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจดทุกครั้งก่อนนอน
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล: เลือกบริโภคผักผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อผิว หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ซึ่งสามารถกระตุ้นการเกิดสิว
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำให้เพียงพอช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกายและรักษาความชุ่มชื้นของผิว
- ลดความเครียด: ความเครียดสามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิวหนังและทำให้เกิดสิว ควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ, การออกกำลังกาย หรือการทำกิจกรรมที่ชอบ
- ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง: หากมีปัญหาสิวที่รุนแรงหรือไม่สามารถควบคุมได้ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม
การดูแลผิวสำหรับคนที่มีสิวอักเสบ
- ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็น ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนต่อผิว หลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อยเกินไปเพราะอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านการอักเสบ: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acid) ซึ่งช่วยลดการอักเสบและผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- หลีกเลี่ยงการขัดผิวแรง ๆ: การขัดผิวแรงเกินไปอาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น
- เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสม: แม้ว่าจะมีสิวอักเสบก็ยังควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว โดยเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน (Non-Comedogenic)
- ป้องกันแสงแดด : ทาครีมกันแดดทุกวันแม้ในวันที่ไม่มีแสงแดดจัด เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำและการระคายเคืองจากแสง UV โดยเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับผิวมันหรือผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย และไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic) จะช่วยป้องกันการอุดตันและการเกิดสิว
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสและบีบสิว: การสัมผัสหรือบีบสิวอาจทำให้การอักเสบแย่ลง และเพิ่มความเสี่ยงในการทิ้งรอยแผลเป็น ควรปล่อยให้สิวยุบเองหรือให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำการรักษา
- ใช้ยาทาสิวตามคำแนะนำของแพทย์: หากแพทย์สั่งยาทาเฉพาะที่ เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือเรตินอยด์ ควรใช้ตามคำแนะนำเพื่อควบคุมการอักเสบและลดการเกิดสิวใหม่
- ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง: หากสิวอักเสบมีความรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการดูแลและคำแนะนำที่เหมาะสมในการรักษาสิวอย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามนิยมที่เกี่ยวข้องกับสิวอักเสบ
สิวอักเสบกี่วันหาย ?
ระยะเวลาที่สิวอักเสบจะหายขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของสิว, ประเภทของการรักษาที่ใช้ และการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ
โดยสิวอักเสบที่มีขนาดเล็ก (Papules และ Pustules) มักใช้เวลาประมาณ 3-7 วันในการยุบตัวและเริ่มหาย
สิวอักเสบที่มีขนาดใหญ่และลึก (Nodules และ Cysts) มักใช้เวลานานกว่า โดยอาจใช้เวลา 2-6 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้นในการหาย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี สิวประเภทนี้มีโอกาสสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้
สิวหัวช้าง (Acne Conglobata) มีความรุนแรงมาก อาจใช้เวลาหลายเดือนในการรักษาให้หายขาด และมักต้องได้รับการรักษาอย่างเข้มข้นจากแพทย์ผิวหนัง รวมถึงการใช้ยารับประทานและการรักษาด้วยวิธีการอื่น ๆ
สิวอักเสบสามารถหายเองได้ไหม ?
สิวอักเสบสามารถหายเองได้ในบางกรณี โดยเฉพาะสิวที่ไม่รุนแรง เช่น สิวอักเสบขนาดเล็ก (Papules และ Pustules) อย่างไรก็ตามการหายของสิวอักเสบเองอาจใช้เวลานาน และมีความเสี่ยงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำหลังจากหายแล้ว การดูแลและรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น
สำหรับสิวอักเสบขนาดใหญ่และลึก (Nodules และ Cysts) หรือสิวหัวช้าง (Acne Conglobata) ควรได้รับการรักษา เนื่องจากมีความรุนแรงและมีการอักเสบอย่างมาก มักไม่หายเองได้ง่าย ๆ และมีความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นลึกและการอักเสบเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ดังนั้นจึงควรได้รับการรักษาจากแพทย์ผิวหนัง
สิวอักเสบควรกดออกไหม ?
การกดสิวอักเสบไม่ใช่วิธีที่แนะนำ เนื่องจากการกดสิวอาจทำให้มีการอักเสบมากขึ้น และมีความเสี่ยงสูงในการทิ้งรอยดำหรือรอยแผลเป็น นอกจากนี้การกดสิวที่ไม่ถูกวิธีสามารถทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นและเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการกดหรือบีบสิว และใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหรือยาที่เหมาะสมเพื่อลดการอักเสบ และหากมีสิวอักเสบขนาดใหญ่และเจ็บปวดมาก แพทย์อาจพิจารณาฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบและทำให้สิวยุบลงเร็วขึ้น
สรุป
สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวหนังที่สามารถส่งผลกระทบอย่างมากทั้งต่อร่างกายและจิตใจของผู้ที่ประสบปัญหา การทำความเข้าใจสาเหตุและวิธีการป้องกันสิวอักเสบเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการกับปัญหานี้อย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลผิวและรักษาอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้
การปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการดูแลและคำแนะนำที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญในการรักษาสิวอักเสบที่รุนแรงและลดความเสี่ยงในการทิ้งรอยแผลเป็น การรักษาอย่างต่อเนื่องและการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผิวกลับมาสุขภาพดีในระยะยาวและมีความมั่นใจมากขึ้น หากคุณกำลังประสบปัญหาสิวอักเสบและต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ลลิษา คลินิกพร้อมให้คำปรึกษาและการดูแลรักษาสิวโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลสิวอักเสบ
Kristeen Cherney. — March 8, 2019. Inflamed Acne: Cystic Acne and Other Types, Plus How to Get Rid of It
https://www.healthline.com/health/inflamed-acne#treatment
Carley Millhone. — May 17, 2024. Inflammatory Acne: Symptoms, Causes, Treatment
https://www.health.com/inflammatory-acne-8636564
สิวอักเสบ – คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
https://www.si.mahidol.ac.th/metc/met/th/images/exhibition/METex2022/Acne/acne.html
บทความโดย
ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว
ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ที่ตั้งคลินิก เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 9 (ติดบันไดเลื่อน)