คลินิกรักษาสิว โดยแพทย์โรคผิวหนังโดยเฉพาะ
วิตามินลดสิว กินแล้วได้ผลจริงไหม? มีข้อควรรู้อย่างไรบ้างก่อนใช้

วิตามินลดสิว เป็นหนึ่งในทางเลือกที่หลายคนหันมาใช้เพื่อลดปัญหาสิว เนื่องจากวิตามินบางชนิดมีคุณสมบัติในการปรับสมดุลฮอร์โมน ลดการอักเสบ และช่วยฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอก แต่คำถามที่ตามมาคือ “วิตามินลดสิวดีจริงไหม?” หรือ “มีแบบไหนบ้าง?”
บทความนี้หมอจะพามาทำความเข้าใจถึงกลไกของวิตามินที่ช่วยลดสิว พร้อมแนะนำวิตามินลดสิวที่นิยมในปัจจุบัน และเคล็ดลับเลือกวิตามินให้เหมาะสมกับสภาพผิวฉบับปี 2025
ทำความรู้จัก! วิตามินลดสิว คืออะไร?

วิตามินลดสิว คือวิตามินหรือสารอาหารที่มีบทบาทในการช่วยลดสิวทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการลดการอักเสบของผิว ควบคุมความมัน ปรับสมดุลฮอร์โมน เสริมการผลัดเซลล์ผิว และฟื้นฟูผิวจากภายใน วิตามินเหล่านี้สามารถพบได้ทั้งในอาหารทั่วไป เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และในรูปแบบของอาหารเสริม
วิตามินช่วยลดสิวได้จริงไหม? ทำไมถึงช่วยลดได้
การกินวิตามินลดสิวสามารถช่วยลดการเกิดสิวได้จริงในบางกรณี (สิว เกิดจากอะไร ? รู้สาเหตุ ช่วยรักษาได้ตรงจุด) เพราะวิตามินนี้เองก็มีส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบ ควบคุมความมัน และปรับสมดุลฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้ที่มีสิวอักเสบ สิวฮอร์โมน หรือผิวมัน ควรทานต่อเนื่อง 4–8 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล ทั้งนี้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น การใช้สกินแคร์หรือฮอร์โมนในร่างกาย
ประโยชน์ของวิตามินนอกจากลดสิวแล้ว มีอะไรบ้าง

- ลดการเกิดสิว
วิตามินบางชนิดช่วยควบคุมความมัน ลดการอุดตันของรูขุมขน และลดโอกาสเกิดสิวใหม่ - ลดการอักเสบ
ช่วยให้สิวยุบเร็ว ลดความรุนแรงของสิวอักเสบ - ลดรอยสิว
กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและเสริมสร้างการซ่อมแซมผิว ลดรอยดำ รอยแดงจากสิว - เสริมเกราะป้องกันผิว
ช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดโอกาสการระคายเคืองหรือการอักเสบที่นำไปสู่การเกิดสิว - ปรับสมดุลฮอร์โมน
วิตามินบางประเภทมีบทบาทในการควบคุมฮอร์โมนที่เป็นสาเหตุของสิว โดยเฉพาะในผู้หญิง
ถึงแม้ว่าวิตามินจะช่วยบำรุงสุขภาพผิวในหลายด้าน แต่ไม่สามารถใช้เป็นยารักษาสิวโดยตรงได้ และผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
วิตามินอะไรบ้างที่ช่วยลดสิว? ฉบับปี 2025

ปัจจุบันมีวิตามินหลากหลายชนิดที่สามารถช่วยลดสิวได้ แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับการรักษาสิวทุกประเภท ก่อนอื่นคนไข้ควรเข้าใจสาเหตุของการเกิดสิว และเลือกวิตามินลดสิวให้เหมาะสมกับปัญหาสิวเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด
ในปี 2025 นี้ หมอจะมาแนะนำวิตามินที่ได้รับความนิยมในการช่วยลดสิวและบำรุงผิว ได้แก่
1. วิตามิน A (Vitamin A)
ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ลดการอักเสบ เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาสิวอักเสบ สามารถพบได้ในตับ ไข่ แครอท และผักใบเขียว
2. วิตามิน B (Vitamin B)
- วิตามิน B2 (Riboflavin)
ช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรงและควบคุมความมัน พบได้ใน ธัญพืชไม่ขัดสี และเห็ดต่าง ๆ
- วิตามิน B3 (Niacinamide)
ช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันในผิว ลดการอักเสบ และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว พบได้ในอาหาร เช่น ปลา เนื้อสัตว์ และธัญพืช
- วิตามิน B5 (Pantothenic acid)
ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการผลิตน้ำมันและช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวไม่อุดตันและลดการเกิดสิว พบได้ใน ไข่แดง เนื้อไก่ และเนื้อวัว
- วิตามิน B6 (Pyridoxine)
ช่วยควบคุมความมันและลดสิวที่เกิดจากฮอร์โมน นอกจากนี้ยังช่วยในการผลัดเซลล์ผิวและลดการอักเสบ พบได้ใน กล้วย ปลาแซลมอน และปลาทูน่า
3. วิตามิน C (Vitamin C)
สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวจากรอยสิวและลดรอยดำ รอยแดงให้หายเร็ว พบได้ในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม ฝรั่ง และกีวี
4. วิตามิน E (Vitamin E)
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบและบำรุงผิวจากแผลเป็นจากสิว ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวจากรอยสิว พบได้ในน้ำมันพืช ถั่ว และเมล็ดทานตะวัน
5. วิตามิน D (Vitamin D)
ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบในร่างกาย การขาดวิตามิน D อาจทำให้สิวเกิดได้ง่าย ดังนั้นการรับประทานวิตามิน D จะช่วยในการปรับสมดุลฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับสิว พบได้ในแสงแดดและอาหาร เช่น ปลาแซลมอน ไข่
6. แร่สังกะสี (Zinc)
ช่วยลดความมันของผิวและลดการอักเสบ รวมถึงยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว นอกจากนี้ยังช่วยรักษาแผลจากสิวให้หายเร็วขึ้น พบได้ในเนื้อสัตว์ หอย ถั่ว และผักผลไม้
7. อีฟนิ่งพริมโรสออยล์ (Evening Primrose Oil)
อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็น GLA (Gamma-Linolenic Acid) ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ลดสิวฮอร์โมน และลดการอักเสบของผิว
8. สารสกัดจากถั่วเหลือง (Soybean Extract)
มีไฟโตเอสโตรเจนที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง ลดสิวฮอร์โมน และช่วยให้ผิวแข็งแรง
9. สารสกัดจากใบบัวบก (Centella Asiatica Extract)
ช่วยลดการอักเสบของผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดรอยแดงจากสิว
10. สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract)
แหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะ OPCs (Oligomeric Proanthocyanidins) ช่วยลดการอักเสบและเสริมความแข็งแรงของผิว
11. อะเซโรล่าเชอร์รี่ (Acerola Cherry)
แหล่งวิตามินซีธรรมชาติ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ และช่วยให้รอยสิวจางไวขึ้น
12. ไลโคปีน (Lycopene)
สารต้านอนุมูลอิสระจากมะเขือเทศ ช่วยลดความมันบนผิวหน้าและต้านการอักเสบ ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน
วิตามินลดสิวในรูปแบบต่าง ๆ
โดยปกติแล้ว ร่างกายสามารถได้รับวิตามินได้จากทั้งอาหารที่เรารับประทานและอาหารเสริม ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้มีส่วนช่วยในการบำรุงสุขภาพผิวและช่วยลดสิว โดยแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ดังนี้
1. วิตามินในอาหาร
อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเป็นแหล่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตัวอย่างอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน ได้แก่
- ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า อุดมไปด้วยวิตามิน A, C, E และ K ช่วยบำรุงผิว ลดการอักเสบ และฟื้นฟูผิว
- ส้ม อุดมไปด้วยวิตามิน C ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
- ถั่ว เช่น ถั่วลิสง ถั่วดำ อุดมไปด้วยวิตามิน E และแร่ธาตุ เช่น ซิงก์ (Zinc) ที่ช่วยลดการอักเสบและปกป้องผิว
- ไข่ อุดมไปด้วยวิตามิน A, D, B12 ช่วยในการฟื้นฟูผิวและบำรุงผิว
2. วิตามินในรูปแบบอาหารเสริม
วิตามินในรูปแบบอาหารเสริมเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ต้องการในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่อาจขาดวิตามินบางชนิดจากอาหารทั่วไป
ปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น เม็ด แคปซูล และผงชง
วิตามินลดสิวต่างจากยากินรักษาสิวยังไง?

วิตามินลดสิวต่างจากยากินรักษาสิว ทั้งด้านกลไกการออกฤทธิ์ ระยะเวลาเห็นผล และผลข้างเคียง ดังนี้
3556_8cd053-f4> |
วิตามินลดสิว 3556_6f1777-e1> |
ยากินรักษาสิว 3556_764efb-48> |
วัตถุประสงค์ 3556_3119d6-30> |
เสริมการทำงานของร่างกาย ลดสิวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ใช้ดูแลผิวในระยะยาว |
เป็นยาปฏิชีวนะ ออกฤทธิ์โดยตรงกับสิว |
กลไกการออกฤทธิ์ |
ช่วยลดการอักเสบ ควบคุมความมัน ปรับสมดุลฮอร์โมน 3556_e426ee-46> |
ลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อสิว ลดการเกิดสิวใหม่ |
ระยะเวลาเห็นผล |
4–8 สัปดาห์ขึ้นไป |
เห็นผลชัดเจนใน 1-4 สัปดาห์ |
เหมาะกับใคร |
ผู้ที่มีผิวมัน มีปัญหาสิวเล็กน้อยถึงปานกลาง |
สิวอักเสบรุนแรง เรื้อรัง หรือรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล |
ผลข้างเคียง |
ปลอดภัยกว่า ผลข้างเคียงน้อย |
อาจมีผลข้างเคียง ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ 3556_ca82ab-57> |
วิตามินลดสิวกับยาทาลดสิว อะไรเห็นผลเร็วกว่า?
การทานวิตามินลดสิวอาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการดูดซึมของร่างกาย แตกต่างจากครีมลดสิวที่ออกฤทธิ์เฉพาะจุดและเห็นผลได้เร็วกว่า อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิธีสามารถใช้ร่วมกันได้เพื่อเสริมประสิทธิภาพ
วิตามินลดสิวกินควบคู่กับอาหารเสริมอื่น ๆ ได้ไหม?
โดยทั่วไปสามารถทานควบคู่กันได้ แต่ควรระวังการรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมที่มีสารซ้ำซ้อนกัน เช่น Zinc, Vitamin A, B5, B6 และ Vitamin C เพราะหากรับมากเกินกว่าจำนวนที่แนะนำต่อวัน อาจเกิดผลข้างเคียงได้
ข้อควรระวังในการใช้วิตามิน

- ห้ามรับประทานเกินขนาดที่แนะนำต่อวัน เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้
- ตรวจสอบส่วนผสมซ้ำซ้อนจากอาหารเสริมหลายชนิดที่ใช้อยู่
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ หากมีโรคประจำตัวหรือกำลังตั้งครรภ์
- วิตามินเป็นตัวช่วยเสริม ไม่ควรใช้แทนการรักษาทางการแพทย์
- เลือกผลิตภัณฑ์จากแหล่งที่เชื่อถือได้และมีอย.
สรุป
วิตามินสามารถช่วยลดสิวได้จริง โดยเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวและประเภทของสิวในแต่ละบุคคล แต่อย่างไรก็ตาม การกินวิตามินลดสิวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลผิว การรักษาสิวที่ดีควรดูแลควบคู่กับการทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม และทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูล วิตามินลดสิว
The Best Minerals and Vitamins for Acne. Medically reviewed by Cynthia Cobb, DNP, APRN, WHNP-BC, FAANP — Written by Zohra Ashpari. July 31, 2020.
https://www.healthline.com/health/minerals-vitamins-for-acne
Vitamins and minerals for acne: Treatment and prevention. Medically reviewed by Cynthia Cobb, DNP, APRN, WHNP-BC, FAANP. Written by Aaron Kandola. February 8, 2019.
https://www.medicalnewstoday.com/articles/324396
บทความโดย
ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว
ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ที่ตั้งคลินิก เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 9 (ติดบันไดเลื่อน) และ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น 4