สิวหัวดำเกิดจากอะไร? รู้ทันสาเหตุและวิธีรักษาอย่างตรง

สิวหัวดำปัญหาผิวที่สร้างความกังวลให้ใครหลายคน ไม่เพียงบั่นทอนความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงการดูแลผิวที่อาจยังไม่ถูกต้อง แม้จะลองใช้ผลิตภัณฑ์มากมาย แต่ทำไมสิวหัวดำถึงยังกลับมารบกวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า?

ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาทำความรู้จักกับตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดสิวหัวดำ พร้อมค้นพบวิธีจัดการปัญหานี้อย่างตรงจุด เพื่อผิวหน้าเนียนใส ที่จะทำให้คุณกลับมามั่นใจได้อีกครั้งในบทความนี้

สิวหัวดำเกิดจากสาเหตุอะไร

สิวหัวดำเกิดจากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการสะสมของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ทั้งการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ภาวะเครียด การใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้เกิดสิวหัวดำได้

ปัจจัยจากภายในร่างกาย

• ต่อมไขมันทำงานหนัก ผลิตน้ำมันเยอะจึงทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่าย
• ช่วงวัยรุ่น หรือช่วงมีประจำเดือน ฮอร์โมนจะเปลี่ยนแปลง ทำให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น
• ถ้าในครอบครัวมีคนเป็นสิวบ่อย เราก็มีโอกาสเป็นสูงขึ้น
• ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งสารที่กระตุ้นให้เกิดสิวได้

ปัจจัยจากภายนอกร่างกาย

• อากาศร้อนชื้นหรือแดดแรง จะทำให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้น
• ถ้าใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม อาจไปอุดตันรูขุมขนได้
• อาหารมัน ๆ ทอด ๆ หรืออาหารแปรรูป ก็อาจมีส่วนทำให้เกิดสิวได้
• แบคทีเรียบางชนิดบนผิวหนังก็กระตุ้นให้เกิดสิวได้
• การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ก็อาจทำให้เกิดสิวได้
• การขัดผิวแรง ๆ จะทำให้ผิวระคายเคือง และอาจทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น

รู้จักับ สาเหตุการเกิดเกิดจากอะไร มีกี่ประเภท มีวิธีรักษาและป้องกันอย่างไร

สิวหัวดำ คืออะไร

สิวหัวดำ (Blackheads) หรือที่เรียกว่า สิวอุดตันแบบเปิด (Open Comedones) เกิดจากการที่เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและไขมัน (ซีบัม) ไปอุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนขยายออกและเปิดออก เมื่อซีบัมสัมผัสกับอากาศจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำให้เปลี่ยนเป็นสีดำ

สิวหัวดำเป็นลักษณะอย่างไร

สิวหัวดำเป็นสิวชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีดำหรือน้ำตาลเข้ม ขนาดประมาณ 0.1-3 มิลลิเมตร มักพบบริเวณจมูกและแก้ม เกิดจากการที่รูขุมขนอุดตันด้วยไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เมื่อสัมผัสกับอากาศ สารที่อุดตันจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำให้เปลี่ยนเป็นสีดำนั่นเอง ซึ่งการดูแลผิวให้สะอาดและสม่ำเสมอจะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวหัวดำได้

สามารถเกิดบริเวณใดได้บ้าง

โดยทั่วไปแล้ว สิวหัวดำมักจะเกิดขึ้นในบริเวณที่มีรูขุมขนหนาแน่น ผลิตน้ำมันมาก และมีการผลัดเซลล์ผิวไม่สม่ำเสมอ ซึ่งทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย บริเวณที่พบสิวหัวดำบ่อย ๆ ได้แก่

• สิวหัวดำที่จมูก
• สิวหัวดำที่แก้ม
• สิวหัวดำที่หน้าผาก
• สิวหัวดำที่คาง
• สิวหัวดำที่หลัง
• สิวหัวดําในหู
• สิวหัวดําที่รักแร้
• สิวหัวดํา ขาหนีบ
• สิวหัวดํา ที่หน้าอก

สิวหัวดำแตกต่างจากสิวเสี้ยนหัวดำอย่างไร

หลายคนมักจะสับสนระหว่างสิวหัวดำกับสิวเสี้ยนหัวดำ เพราะทั้งสองชนิดมีลักษณะภายนอกที่คล้ายคลึงกัน แต่แท้จริงแล้วมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

• สิวหัวดำ (Blackhead) เกิดจากการที่รูขุมขนอุดตันด้วยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและไขมัน เมื่อสัมผัสกับอากาศก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำ จึงเห็นเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีดำบนผิวหนัง มักพบได้บ่อยบริเวณจมูก คาง และหน้าผาก

• สิวเสี้ยนหัวดำ (Trichostasis Spinulosa) เกิดจากความผิดปกติของรูขุมขน ทำให้มีเส้นขนจำนวนมากขึ้นมาอุดตันอยู่ในรูขุมขนร่วมกับเซลล์ผิวหนังและไขมัน ทำให้ลักษณะภายนอกดูเหมือนจุดสีดำเล็ก ๆ กระจายอยู่บนผิวหนัง และเมื่อสัมผัสจะรู้สึกเหมือนมีเสี้ยนเล็ก ๆ ฝังอยู่

วิธีรักษาสิวหัวดำ

สิวหัวดำถือเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย ซึ่งการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ

สิวหัวดํา เอาออกยังไงดี? การกดสิวด้วยเครื่องมือที่ถูกสุขลักษณะโดยผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยกำจัดสิวหัวดำได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นและการติดเชื้อได้อีกด้วย

การใช้ยาละลายหัวสิว

เป็นสิวหัวดําใช้อะไรดี? แนะนำใช้ยาละลายหัวสิวโดยเฉพาะกลุ่ม Retinoids หรือวิตามินเอ เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในการรักษาสิวหัวดำที่จมูกและบริเวณอื่น ๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยละลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน ทำให้สิวหัวดำหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง เพราะอาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวแห้ง หรือระคายเคือง

การกินยารักษาสิวหัวดำ

แพทย์ผิวหนังอาจพิจารณาจ่ายยาเพื่อรักษาสิวหัวดำ โดยยาที่ใช้รักษาสิวหัวดำมีหลายประเภท ดังนี้

• ยาปฏิชีวนะ จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว เช่น เอริโทรไมซิน คลินดาไมซิน เตตราไซคลิน และดอกซีไซคลิน เป็นต้น ซึ่งยาปฏิชีวนะจะช่วยลดการอักเสบของสิว และช่วยให้สิวยุบลงได้เร็วขึ้น

• ยากลุ่มยาอนุพันธ์ของวิตามินเอ จะช่วยลดการผลิตน้ำมันของต่อมไขมัน ทำให้รูขุมขนไม่ถูกอุดตัน และช่วยลดการเกิดสิวใหม่ เช่น ไอโซเทรติโนอิน โรแอคคิวเทน และโรแอคคิวเทนแอคโนทิน อย่างไรก็ตาม ยามีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น ผิวแห้ง ปากแตก และอาจมีผลต่อตับ จึงต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

• ยาปรับฮอร์โมน จะช่วยปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล ซึ่งจะช่วยลดการผลิตน้ำมันของต่อมไขมัน และลดการอุดตันของรูขุมขน เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิด และยาในกลุ่ม GnRH agonists ซึ่งยาปรับฮอร์โมนอาจจะมีผลข้างเคียงอย่างการเวียนหัว คลื่นไส้ และอาจมีผลต่อประจำเดือน จึงต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

การใช้สกินแคร์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว

อยากลดสิวหัวดำโดยไม่ใช้ยา ลองใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ดังนี้

• AHA และ PHA ช่วยผลัดเซลล์ผิวเบา ๆ ผิวดูใส ลดรอยสิว เหมาะกับผิวแห้ง-ระคายเคือง
• BHA และ LHA ซึมลึกถึงรูขุมขน ลดน้ำมัน ลดสิวหัวดำและสิวอุดตัน เหมาะกับผิวผสม-มัน
• อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้บ่อยเกิน 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อป้องกันผิวระคายเคืองและไวต่อแดด

การเลเซอร์สิวหัวดำ

สิวหัวดำแก้ยังไง? สามารถใช้เลเซอร์เพื่อรักษาสิวหัวดำ การรักษาด้วยเลเซอร์เป็นการใช้แสงเลเซอร์แทนเข็มในการรักษาสิวหัวดำ ทำให้สิวหัวดำที่ฝังลึกหลุดออกง่าย รวดเร็ว และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น ซึ่งเลเซอร์ที่นิยมใช้ เช่น CO2 Laser, Vbeam Laser และ Pico Laser เป็นต้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดรอยแดงจากสิว และทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย

การฉีดรีจูรัน

การฉีดรีจูรันคือการนำสารสกัดจาก DNA ปลาแซลมอนมาฟื้นฟูผิวจากภายใน โดยสารสกัดนี้จะเข้าไปซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย จะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดสิวหัวดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยลดขนาดรูขุมขนและรักษาหลุมสิวตื้น ๆ ได้ดี

การฉีดมาเด้คอลลาเจน

การฉีดมาเด้คอลลาเจนและเมโสหน้าใสเพื่อรักษาสิวหัวดำ คือการนำสารบำรุงเข้มข้นฉีดตรงผิว ช่วยให้เห็นผลเร็วกว่าทาครีมทั่วไป โดยเฉพาะมาเด้คอลลาเจนเน้นฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ลดสิว ผดผื่น และขับสารพิษ

ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อแนะนำการรักษา

หากรักษาสิวหัวดำแต่ไม่หายสักที การปรึกษาแพทย์ผิวหนังอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ที่ลลิษาคลินิก มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมช่วยคุณกำจัดสิวหัวดำให้หมดไป ด้วยการวินิจฉัยที่แม่นยำและแผนการรักษาสิวเฉพาะบุคคล ไม่เพียงเท่านั้นเรายังเน้นการดูแลผิวในระยะยาว เพื่อป้องกันปัญหาสิวกลับมาอีกครั้ง มั่นใจในผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย

วิธีการป้องกัน

สิวหัวดำ เป็นปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญ ซึ่งการดูแลผิวอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวหัวดำและทำให้ผิวหน้ากลับมาเนียนใสได้ ดังนี้

• เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยน เหมาะกับสภาพผิว ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง หรือทำให้ผิวแห้งตึง การทำความสะอาดแบบ Double Cleansing จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกและเครื่องสำอางได้อย่างหมดจด ลดการอุดตันรูขุมขน
• เน้นรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารมัน ของทอด อาหารรสจัด และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพราะส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมันและอาจทำให้เกิดสิวได้
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน และช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
• นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองและผิวหนัง ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
• ลดความเครียด เพราะความเครียดเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดสิว ควรการฝึกผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ หรือการออกกำลังกาย จะช่วยลดความเครียดได้
• หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ เพราะจะทำให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกเข้าสู่รูขุมขนและก่อให้เกิดสิวได้
• เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ หรือสกินแคร์เสริมชั้นผิว เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรง
• การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไปทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพื่อป้องกันผิวจากรังสี UV ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำ
• หากมีปัญหาสิวเรื้อรังหรือสิวหัวดำอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

ดูแลผิวอย่างไรดีเมื่อมีสิวหัวดำ

การดูแลผิวเมื่อมีสิวหัวดำ ควรเริ่มจากการทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิว เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน ควรใช้ มอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและแข็งแรง นอกจากนี้ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า บ่อย ๆ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือ AHA เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการเกิดสิวหัวดำ รวมถึงปรึกษาแพทย์หนังเพื่อรักษารักษาสิวหัวดำอย่างถูกวิธี

สิวหัวดำอันตรายไหม

สิวหัวดำที่แข็งเหมือนหินอาจจะ ไม่ได้อันตรายร้ายแรง แต่การบีบหรือแกะอาจทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่าย ควรดูแลผิวหน้าให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิวจะดีกว่า

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

สิวหัวดํา บีบได้ไหม?

แม้การบีบสิวหัวดำเม็ดใหญ่จะเป็นวิธีที่หลายคนเลือกใช้ แต่ก็อาจนำมาซึ่งผลเสียมากกว่าดี เช่น

1. การติดเชื้อ: การใช้มือบีบสิวอาจทำให้แบคทีเรียเข้าสู่รูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบและกลายเป็นสิวอักเสบได้
2. รอยแดง รอยดำ: การบีบสิวแรงเกินไปอาจทำให้เกิดรอยแดง รอยดำ หรือแม้กระทั่งหลุมสิว
3. กระตุ้นให้เกิดสิวใหม่: การบีบสิวอาจทำให้รูขุมขนอักเสบและเกิดสิวขึ้นมาใหม่ได้

ไม่แนะนำให้บีบสิวหัวดำด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้เกิดรอยแดง รอยดำ หรือรอยแผลเป็นได้ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อทำความสะอาดรูขุมขนอย่างถูกวิธี (อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : บีบสิว ดีไหม มีข้อเสียอย่างไร พร้อมแนะนำวิธีรักษาอย่างถูกต้อง)

สิวหัวดําบีบไม่ออก เป็นเพราะสาเหตุอะไร?

สิวหัวดําบีบไม่ออกเป็นเพราะการที่หัวสิวฝังตัวอยู่ลึกในรูขุมขน หรือมีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถบีบออกได้

สิวหัวดำ สามารถหายเองได้ไหม?

สิวหัวดำอาจหายเองได้ แต่การรักษาจะช่วยให้หายเร็วขึ้นและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรักษาการรักษาอย่างถูกวิธี

เสริมจมูกมา กดสิวหัวดำที่จมูกได้ไหม?

ควรหลีกเลี่ยงการกดสิวบริเวณจมูก เพื่อป้องกันการติดเชื้อและผลกระทบต่อรูปทรงของจมูก

สิวหัวดำรักษานานไหมถึงจะหาย?

ระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละคน เพราะการรักษาสิวหัวดำอาจใช้เวลาตั้งแต่ 3 สัปดาห์ขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความรุนแรงของสิว การดูแลผิวประจำวัน อาหารการกิน และฮอร์โมนในร่างกาย เป็นต้น

สิวหัวดํา ต้องกดออกไหม?

การกดสิวสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่สิวหัวดำจะกลายเป็นสิวอักเสบได้ แต่หากทำการกดไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรืออักเสบ ซึ่งจะทำให้ปัญหายิ่งแย่ลง รวมถึงการกดสิวด้วยแรงมากเกินไปอาจทำให้เกิดรอยแดงหรือรอยดำหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม หากคุณมีปัญหาสิวหัวดำมาก ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์สามารถใช้เครื่องมือที่ปลอดเชื้อในการกดสิวได้อย่างถูกต้อง

สรุป

สิวหัวดำเกิดจากการสะสมของไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน เมื่อสัมผัสอากาศจึงเปลี่ยนเป็นสีดำ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน พันธุกรรม ความเครียด สภาพอากาศ และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม โดยการรักษาสิวหัวดำนั้นสามารถทำได้โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว หรือปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ส่วนการป้องกันสามารถทำได้โดยการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ