คลินิกรักษาสิว โดยแพทย์โรคผิวหนังโดยเฉพาะ
รู้จัก สิวยีสต์ สิวเชื้อรา คืออะไร ? เผยสาเหตุและวิธีรักษาอย่างถูกต้อง
เคยสงสัยไหมว่าทำไมสิวบางประเภทถึงรักษายากและกลับมาเป็นซ้ำ ๆ แม้จะดูแลผิวอย่างดีแล้วก็ตาม? ปัญหานี้อาจไม่ใช่สิวธรรมดา แต่เป็น “สิวยีสต์” หรือ “สิวเชื้อรา” ที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง สิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา เป็นปัญหาผิวหนังที่หลายคนอาจไม่รู้จักและมักเข้าใจผิดว่าเป็นสิวทั่วไป แม้ลักษณะภายนอกจะคล้ายคลึงกัน แต่สิวยีสต์เกิดจากการติดเชื้อราที่รูขุมขน ซึ่งทำให้การรักษาและการดูแลแตกต่างจากสิวธรรมดา และมักมีอาการคันและเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ซึ่งทำให้การรักษาสิวชนิดนี้ต้องใช้วิธีที่เฉพาะเจาะจง การเข้าใจและระบุปัญหาผิวได้ถูกต้องเป็นก้าวแรกสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพ
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสิวยีสต์หรือสิวเชื้อราอย่างละเอียด ทั้งสาเหตุ ลักษณะอาการ และวิธีการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถรับมือและป้องกันปัญหาผิวนี้ได้อย่างถูกต้อง เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการดูแลผิวที่ดีขึ้นและคืนความมั่นใจให้กับใบหน้าของคุณอีกครั้ง
รู้จักสิวยีสต์ หรือ สิวเชื้อรา คืออะไร ?
สิวยีสต์ หรือสิวเชื้อรา ที่รู้จักกันในชื่อทางการแพทย์ว่า “Pityrosporum folliculitis” หรือ “Malassezia folliculitis” คือการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อราประเภทยีสต์ในกลุ่มมาลาสซีเซีย (Malassezia species) เชื้อราชนิดนี้พบได้ทั่วไปบนผิวหนังของทุกคน แต่เมื่อมีการเจริญเติบโตมากเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาผิวหนังหลายอย่าง รวมถึงสิวยีสต์ด้วย ลักษณะของสิวยีสต์จะเป็นตุ่มแดงเล็กๆ หรือมีตุ่มหนองปะปนกัน มักพบบริเวณใบหน้า หน้าอก แผ่นหลัง และในบางกรณีอาจเกิดขึ้นที่แขน คอ และบริเวณอื่นๆ ที่มีเหงื่อออกมาก
สาเหตุของสิวยีสต์ หรือ สิวเชื้อรา เกิดจากอะไร ?
สิวยีสต์หรือสิวเชื้อราเกิดจากการเจริญเติบโตมากเกินไปของเชื้อราประเภทยีสต์ในกลุ่มมาลาสซีเซีย (Malassezia species) ซึ่งปกติอาศัยอยู่บนผิวหนังของเรา การเติบโตที่ผิดปกตินี้มักเกิดจากปัจจัยหลายประการที่กระตุ้นให้เชื้อราเจริญเติบโตมากเกินไปและทำให้เกิดการอักเสบของรูขุมขน โดยปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดสิวยีสต์มีดังนี้
- การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน : ยาปฏิชีวนะสามารถทำลายแบคทีเรียดีบนผิวหนัง และสมดุลของจุลินทรีย์เสียไป ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตมากขึ้น
- การใช้ยาสเตียรอยด์ : ยาสเตียรอยด์สามารถกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เชื้อรามีโอกาสเจริญเติบโตมากขึ้น
- ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ : ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคหรือการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ยาสเตียรอยด์ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น
- อาหาร : การบริโภคอาหารที่มีแป้ง ยีสต์ และน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน, เบเกอรี่, ขนมปัง, ของหมักของดอง, น้ำหวาน, น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อรา
- สภาพอากาศร้อน : อากาศร้อนและชื้นเป็นปัจจัยที่ทำให้เชื้อราเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศร้อนตลอดทั้งปี
- ผิวมันและเหงื่อออกง่าย : น้ำมันส่วนเกินบนผิวหนังและเหงื่อที่มากเกินไปเป็นอาหารที่ดีสำหรับยีสต์ ทำให้เกิดสิวยีสต์ได้ง่ายขึ้น
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน : ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน เช่น ครีมที่มีเนื้อเข้มข้น สามารถเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เชื้อราเติบโต
- ความเครียด : ความเครียดสามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตมากขึ้น
- การใช้เสื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ : การใส่เสื้อผ้าที่มีความอับหรือไม่ระบายอากาศ สามารถทำให้เหงื่อออกง่ายและเชื้อราเติบโตได้ดี
- ความอ้วน : ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมักมีผิวมันและเหงื่อออกมาก ทำให้เชื้อรามีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต
- การตั้งครรภ์ : การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงการตั้งครรภ์สามารถทำให้ผิวหนังไวต่อการติดเชื้อรา
สิวยีสต์ หรือ สิวเชื้อรา มีอาการอย่างไร ?
สิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา มีอาการที่แตกต่างจากสิวทั่วไปอย่างชัดเจน อาการที่พบได้บ่อยคือสิวเชื้อรามักปรากฏเป็นเม็ดเล็ก ๆ ดูคล้ายผดผื่นขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม อาจเป็นตุ่มแดงเล็ก ๆ และตุ่มหนองที่มักจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ตุ่มเหล่านี้มีขนาดใกล้เคียงกัน (ประมาณ 1-2 มิลลิเมตร) ส่วนมากมักไม่มีหัวสิวและไม่สามารถกดออกมาได้ และกระจายอยู่เป็นกลุ่ม ๆ
มักพบที่บริเวณใบหน้า หน้าอก หลัง และบางครั้งที่คอและแขน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเหงื่อออกและอับชื้นได้ง่าย และมักมีอาการคัน โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนชื้น หรือหลังจากการทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การออกกำลังกาย อาการคันนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกที่สำคัญว่าสิวที่เกิดขึ้นอาจเป็นสิวยีสต์
ผู้ที่มีปัญหาสิวยีสต์มักสังเกตเห็นว่าตุ่มผื่นเหล่านี้ไม่ตอบสนองต่อการรักษาสิวทั่วไป หรือหายช้า เนื่องจากสาเหตุของสิวยีสต์มาจากการติดเชื้อราประเภทยีสต์ในกลุ่ม Malassezia ซึ่งแตกต่างจากสิวทั่วไปที่มักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและการติดเชื้อแบคทีเรีย การเกิดซ้ำของสิวยีสต์ในบริเวณเดิมบ่อยครั้งยังเป็นสัญญาณว่าการรักษาอาจยังไม่ถูกต้องหรือเหมาะสม
วิธีรักษาสิวยีสต์ หรือ สิวเชื้อรา มีอะไรบ้าง ?
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาสิวเชื้อราคือการแยกให้ออกว่าสิวที่เป็นอยู่เป็นสิวธรรมดาทั่วไปหรือเป็นสิวเชื้อรา เนื่องจากการรักษาสิวเชื้อราและสิวทั่วไปนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากใช้วิธีการรักษาสิวเชื้อราเหมือนกับการรักษาสิวทั่วไป อาจทำให้สิวเชื้อราอักเสบและขยายขึ้นมากกว่าเดิมได้ การรักษาสิวยีสต์หรือสิวเชื้อรามีหลายวิธี เนื่องจากสิวชนิดนี้เกิดจากการติดเชื้อรา จึงจำเป็นต้องใช้ยาต้านเชื้อราในการรักษา ร่วมกับการดูแลและปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้สิวกลับมาเป็นซ้ำ ดังนี้
- ยาทารักษาสิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา
ยาทาที่ใช้ในการรักษาสิวเชื้อราเป็นยาฆ่าเชื้อรา เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole), ไมโคนาโซล (Miconazole), อีโคโนาโซล (Econazole), โคลไตรมาโซล (Clotrimazole) หรือซีลีเนียม ซัลไฟด์ (Selenium Sulfide) ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและลดการอักเสบของผิวหนัง ควรใช้ยาทาตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
- ยารับประทานรักษาสิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา
สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือสิวเชื้อราขึ้นเยอะ ยาต้านเชื้อราที่ใช้รับประทานมักเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole), ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) หรือไอทราโคนาโซล (Itraconazole) ยาเหล่านี้มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาการติดเชื้อรา แต่ก็อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ดังนั้นการใช้ยารับประทานควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- การใช้แสงเลเซอร์
การใช้แสงเลเซอร์ในการรักษาสิวเชื้อราเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการและลดการอักเสบของสิวเชื้อรา แสงเลเซอร์สามารถช่วยฆ่าเชื้อราและลดการเจริญเติบโตของเชื้อบนผิวหนังได้ วิธีนี้เป็นทางเลือกเสริมที่สามารถใช้ร่วมกับยาทาหรือยารับประทานได้
- การดูแลและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
นอกจากการใช้ยา การดูแลและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็มีความสำคัญ เช่น การรักษาความสะอาดของผิวหนัง, หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน, สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี, หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพอากาศร้อนชื้น และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- การปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
หากอาการของสิวยีสต์หรือสิวเชื้อรามีความรุนแรง การปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางเป็นสิ่งที่ควรทำ แพทย์จะสามารถวินิจฉัยและแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยได้ นอกจากนี้แพทย์ยังสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผิวและการป้องกันไม่ให้สิวกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสิวยีสต์หรือโรครูขุมขนอักเสบสามารถหายและเกิดใหม่ซ้ำได้หากมีปัจจัยที่ทำให้รูขุมขนเกิดการอักเสบซ้ำ คำปรึกษาและการรักษาในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญจะช่วยลดปัญหาผิวในระยะยาวและช่วยทำให้ผิวได้รับการดูแลที่ถูกต้องเหมาะสมได้
หากคุณกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับสิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา แนะนำมารักษาที่คลินิกลลิษา เรามีทีมแพทย์ผู้เฉพาะทางด้านผิวหนังที่พร้อมดูแลด้วยวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงและเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อให้การรักษาได้อย่างตรงจุดและป้องกันการเกิดสิวซ้ำ ให้ผิวหน้ากลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง
บริเวณที่มักจะเกิดสิวยีสต์ หรือ สิวเชื้อรา มีตรงไหนบ้าง ?
สิวยีสต์หรือสิวเชื้อราเป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อรา โดยเฉพาะในบริเวณที่มีเหงื่อและความอับชื้นสูง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายๆ จุดบนร่างกาย ดังนี้
- สิวยีสต์ที่ใบหน้า: บริเวณหน้าผาก แก้ม และรอบปาก
- สิวยีสต์ที่หน้าอก: มักพบผื่นเม็ดเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไป
- สิวยีสต์ที่หลัง: โดยเฉพาะบริเวณส่วนบนของหลัง
- สิวยีสต์ที่คอ: ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
- สิวยีสต์ที่แขน: จุดที่มีการเสียดสีและเหงื่อออกง่าย
ความแตกต่างระหว่างสิวยีสต์ หรือ สิวเชื้อรา กับสิวทั่วไป
สิวเชื้อรา กับสิวธรรมดาทั่วไปมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมากจนแทบจะแยกไม่ออก แต่ยังมีข้อสังเกตที่ทำให้เราสามารถแยกแยะได้ โดยสิวเชื้อรามีลักษณะเป็นผื่นตุ่มนูนแดงเม็ดเล็ก ๆ ที่ขึ้นตามรูขุมขน แต่ละตุ่มมีขนาดเท่า ๆ กัน และบางครั้งอาจมีหัวหนองสีขาวอยู่บนตุ่มนูนแดง สิวเชื้อราไม่มีการอุดตันข้างในตุ่ม และอาการสำคัญที่สามารถสังเกตได้ง่ายคืออาการคัน ซึ่งมักจะเป็น ๆ หาย ๆ ในบริเวณเดิมซ้ำ ๆ
ในขณะที่สิวทั่วไปเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ฮอร์โมน หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย มักมีขนาดไม่เท่ากัน มีทั้งเล็กและใหญ่ผสมกัน และมีการอุดตันข้างในตุ่มสิว สิวทั่วไปไม่มีอาการคันเหมือนสิวเชื้อรา นอกจากนี้ สิวทั่วไปอาจปรากฏเป็นสิวหัวดำ (open comedones) หรือสิวหัวขาว (closed comedones) ที่มีลักษณะเฉพาะตัว
ผลกระทบของสิวยีสต์หรือสิวเชื้อราต่อผิว มีอะไรบ้าง ?
สิวยีสต์หรือสิวเชื้อราเป็นปัญหาผิวที่สามารถสร้างความรำคาญและส่งผลกระทบต่อผิวหนังได้หลายประการ ทั้งการอักเสบและระคายเคืองที่ทำให้ผิวหนังมีตุ่มแดงและตุ่มหนอง ส่งผลให้รู้สึกเจ็บปวดและไม่สบายผิว นอกจากนี้ยังมีอาการคันที่โดดเด่น โดยเฉพาะในบริเวณที่มีเหงื่อและความอับชื้นมาก เมื่อเกาอาจทำให้ผิวหนังอักเสบและเกิดการติดเชื้อซ้ำได้
การเกิดสิวยีสต์ยังทำให้ผิวหนังไม่เรียบเนียน ดูไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจทำให้ขาดความมั่นใจในตนเอง หลังจากสิวยีสต์หาย อาจทิ้งรอยดำหรือรอยแดงบนผิว ซึ่งต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟูและรักษา
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา มีอะไรบ้าง ?
การป้องกันสิวยีสต์หรือสิวเชื้อราเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดปัญหาผิวหนังและรักษาผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยแนวทางที่ช่วยป้องกันการเกิดสิวยีสต์หรือสิวเชื้อรามีดังนี้
- ล้างหน้าให้สะอาด
การล้างหน้าให้สะอาดเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญในการดูแลผิว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ปราศจากสารเคมีที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะหลังจากเหงื่อออกมาก เช่น หลังออกกำลังกายหรืออยู่ในที่ร้อนชื้น เพื่อลดการสะสมของเหงื่อและน้ำมันที่เป็นอาหารของเชื้อรา
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น เพราะอาจนำเชื้อโรคและสิ่งสกปรกจากมือไปสู่ผิวหน้า ทำให้เกิดการอักเสบและการติดเชื้อได้ และควรรักษาความสะอาดของมืออยู่เสมอ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาตุ่มสิว เพราะอาจทำให้เชื้อราแพร่กระจายและสิวอักเสบมากขึ้น
- ใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ปลอดภัย
ควรเลือกใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ และเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของผู้ใช้งาน เพื่อป้องกันการอุดตันในรูขุมขนและการเกิดสิวเชื้อรา
- กินโพรไบโอติกส์
การรับประทานโพรไบโอติกส์จะช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อราที่เจริญเติบโตมากกว่าปกติ ทำให้มีจำนวนที่น้อยลงและไม่ก่อให้เกิดการอักเสบในรูขุมขน
- เลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่เนื้อผ้าโปร่ง ระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้น
การสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดีจะช่วยลดการเกิดเหงื่อและลดโอกาสการเจริญเติบโตของเชื้อราได้
- ลดการว่ายน้ำที่มีคลอรีน
การว่ายน้ำในสระที่มีคลอรีนอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียดีบนผิวลดลงและเพิ่มจำนวนของเชื้อรา ควรหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำบ่อยๆ หากมีปัญหารูขุมขนอักเสบ
คำถามที่นิยมเกี่ยวกับ สิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา
สิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา สามารถหายเองได้ไหม ?
อาการสิวยีสต์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะเชื้อยีสต์เป็นส่วนหนึ่งของผิวตามธรรมชาติของเรา อย่างไรก็ตามสามารถควบคุมเชื้อและป้องกันการเกิดซ้ำได้ กรณีหากเป็นเพียงเล็กน้อยและมีการดูแลรักษาความสะอาดผิวอย่างเหมาะสม มีการใช้ยารักษาอย่างเหมาะสมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ อาจช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อราได้ แต่หากสิวยีสต์หรือสิวเชื้อรามีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง ได้รับยาฆ่าเชื้อราและการดูแลผิวอย่างเหมาะสมจะช่วยให้สิวหายได้เร็วขึ้นและลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำ
สิวยีสต์หรือสิวเชื้อรากี่วันหาย ?
ระยะเวลาที่สิวยีสต์หรือสิวเชื้อราจะหายขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงความรุนแรงของการติดเชื้อ, การรักษาที่ใช้ และการตอบสนองของร่างกายต่อการรักษา โดยทั่วไปแล้ว การใช้ยาต้านเชื้อราทั้งแบบทาและรับประทานมักจะเริ่มเห็นผลภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในบางกรณีอาจใช้เวลานานถึง 4-6 สัปดาห์กว่าที่อาการจะดีขึ้นอย่างชัดเจน
หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีความรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาหรือรับคำแนะนำเพิ่มเติม
เป็นสิวยีสต์ หรือ สิวเชื้อรา ห้ามกินอะไรบ้าง ?
เมื่อเป็นสิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา การควบคุมอาหารที่บริโภคเข้าไปมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากอาหารบางประเภทสามารถกระตุ้นให้เชื้อราเจริญเติบโตและทำให้อาการสิวแย่ลงได้ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ อาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง เช่น ขนมปัง, เบเกอรี่, ขนมหวาน, น้ำหวาน, น้ำอัดลม และขนมปังที่มีน้ำตาลมาก เนื่องจากน้ำตาลเป็นแหล่งอาหารที่ดีสำหรับเชื้อรา
นอกจากนี้ของมัน, ของทอด, ผลิตภัณฑ์นม เช่น นม โยเกิร์ต ชีส และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์ และสุราก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะสามารถกระตุ้นการเติบโตของเชื้อราและทำให้สิวเชื้อราอักเสบหรือแย่ลงได้เช่นกัน
สรุป
สิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา แท้จริงแล้วเป็นโรครูขุมขนอักเสบจากการติดเชื้อรา ซึ่งทำให้เกิดผื่นตุ่มแดง ตุ่มหนอง และอาการคัน ต่างจากสิวทั่วไป ทำให้วิธีที่ใช้ในการรักษาสิวเชื้อรากับสิวทั่วไปนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การรักษาและป้องกันสิวยีสต์จำเป็นต้องใช้ยาต้านเชื้อราและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลผิว หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง สิวยีสต์ไม่สามารถหายขาดได้เอง แต่สามารถควบคุมอาการและป้องกันการเกิดใหม่ได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลผิวอย่างถูกต้อง การปรึกษาแพทย์ผิวหนังเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการกับสิวยีสต์อย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลสิวยีสต์
Written by Lori M. May 04, 2023 King, PhD.Fungal Acne: Is It Acne? Causes, Symptoms and Treatments
https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/acne/what-is-fungal_acne
Kimberly Holland. September 3, 2020. What Is Fungal Acne? Symptoms, Treatment, Vs. Acne https://www.healthline.com/health/all-about-fungal-acne
Carrie Madormo, RN, MPH. August 12, 2024. Fungal Acne: How to Identify and Treat It
https://www.verywellhealth.com/fungal-acne-5089223
บทความโดย
ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว
ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ที่ตั้งคลินิก เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 9 (ติดบันไดเลื่อน)