บีบสิว ดีไหม มีข้อเสียอย่างไร พร้อมแนะนำวิธีรักษาอย่างถูกต้อง

บีบสิวดีไหม มีข้อเสียอะไรบ้าง กำจัดสิวอย่างไรให้ถูกวิธี

บีบสิว

การบีบสิวเป็นพฤติกรรมที่หลายคนอาจเคยทำเมื่อเห็นสิวเม็ดใหญ่ปรากฏบนใบหน้า แม้ว่าการบีบสิวอาจดูเป็นวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วในการกำจัดสิว แต่ความจริงแล้วการบีบสิวอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวหน้าอย่างมากมาย เช่น การเกิดแผลเป็น การติดเชื้อ และการแพร่กระจายของสิวในบริเวณอื่นๆ 

บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับข้อดี-ข้อเสียของการบีบสิว และแนะนำวิธีการรักษาสิวอย่างถูกต้องเพื่อให้ผิวหน้าสุขภาพดีและปลอดภัยจากการอักเสบและแผลเป็น

บีบสิว ดีไหม ?

สิวเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผิวหนัง สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย และมักพบบ่อยบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า หลัง หน้าอก และไหล่

โดยสิวเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วและน้ำมัน (sebum) ที่ผลิตจากต่อมไขมัน (sebaceous glands) และแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) ที่มีอยู่ตามธรรมชาติในผิวหนังก็มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการอักเสบซึ่งนำไปสู่การเกิดสิวอักเสบตามมาได้ อีกทั้งยังมีปัจจัยหลายอย่างมีส่วนร่วมในการเกิดสิว เช่น 

  • ฮอร์โมน
  • พันธุกรรม
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม
  • ความเครียด
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต 

โดยสิวสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่

  1. สิวหัวขาว (Whiteheads): รูขุมขนที่อุดตันด้วยเซลล์ผิวและน้ำมันซึ่งปิดอยู่ ทำให้สิวมีลักษณะสีขาว
  2. สิวหัวดำ (Blackheads): รูขุมขนที่อุดตันแต่เปิดอยู่ ด้วยเซลล์ผิวและน้ำมันที่อุดตันถูกออกซิไดซ์จึงทำให้เป็นสีดำ
  3. สิวอักเสบ (Papules): ตุ่มเล็ก ๆ แดง ๆ ที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน
  4. สิวหัวหนอง (Pustules): ตุ่มแดงที่มีหนองอยู่ข้างใน เกิดจากการติดเชื้อของรูขุมขน
  5. สิวหัวช้าง (Nodules): ตุ่มแข็งขนาดใหญ่ที่เกิดการอักเสบลึกลงไปในผิวหนัง
  6. สิวซีสต์ (Cysts): ตุ่มขนาดใหญ่ อักเสบลึกลงไปในผิวหนัง และเต็มไปด้วยหนอง ซึ่งอักเสบมากและเจ็บปวด และมักทิ้งรอยแผลเป็นหรือหลุมสิวถาวร

ข้อดีของการกดสิวอุดตัน

ช่วยลดโอกาสการพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้ แต่ถ้ากดไม่ถูกวิธี หรือไปกดสิวกับสิวที่ไม่ควรกด หรือกดเอาสิ่งอุดตันภายในออกไม่หมด ก็จะเพิ่มโอกาสการอักเสบ เกิดปัญหารอยดำ รอยแดงหลังการเป็นสิวได้ง่ายขึ้น และต้องใช้ระยะเวลานานขึ้นกว่าปกติ 

ซึ่งการบีบสิวเป็นการกระทำที่หลายคนใช้เพื่อกำจัดสิวออกจากใบหน้า โดยเฉพาะเมื่อสิวมีหัวหนองที่ดูเหมือนง่ายต่อการบีบออก อย่างไรก็ตาม การบีบสิวไม่เพียงแต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาสิวอย่างถาวร แต่ยังสามารถทำให้เกิดผลเสียที่รุนแรงต่อผิวหน้าได้อีกด้วย ดังนั้นควรเลือกวิธีการรักษาที่ถูกต้องและปลอดภัยเพื่อผิวที่สุขภาพดี

สิวแบบไหนควรบีบออก

สิวแบบไหนสามารถบีบได้

สิวที่สามารถบีบออกได้ ได้แก่ สิวหัวดำ (Blackheads) และสิวหัวขาว (Whiteheads) เพื่อลดโอกาสการเกิดเป็นสิวอักเสบในอนาคต โดยการบีบสิวควรทำอย่างระมัดระวังและเฉพาะกับสิวบางประเภทเท่านั้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อ การอักเสบเพิ่มเติม และการเกิดแผลเป็น ดังนั้นการใช้เครื่องมือที่สะอาดและการดูแลหลังจากการบีบสิวเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการเกิดแผลเป็นในอนาคต

สิวแบบไหนที่ไม่ควรบีบ

  1. สิวอักเสบ (Papules): สิวที่แดงและบวมแต่ไม่มีหัว ไม่ควรบีบออกเพราะจะทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น
  2. สิวหัวหนอง (Pustules): แม้จะมีหัวหนองที่เห็นชัด แต่การบีบออกอาจทำให้การอักเสบแย่ลงและเกิดรอยแผลเป็น ควรให้หนองแตกออกเอง ใช้แผ่นดูดสิว หรือใช้ยาทาภายนอกที่เหมาะสม
  3. สิวหัวช้าง (Nodules) และ สิวซีสต์ (Cysts): สิวประเภทนี้อยู่ลึกในชั้นผิวและมีการอักเสบมาก การบีบสิวเหล่านี้อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อและแผลเป็น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษาที่เหมาะสม

วิธีบีบสิว ด้วยตัวเอง​​

วิธีบีบสิวด้วยตัวเอง

การบีบสิวด้วยตัวเองอาจดูเป็นเรื่องง่าย แต่หากทำไม่ถูกวิธีอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและแผลเป็นตามมาได้ แนะนำควรบีบสิวอย่างถูกต้องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด ดังนี้

STEP 1: เตรียมอุปกรณ์และทำความสะอาด

  • ล้างมือ: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดให้สะอาดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อแบคทีเรีย
  • ทำความสะอาดอุปกรณ์: ใช้แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดเครื่องมือกดสิว
  • ล้างหน้า: ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน เพื่อล้างสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกิน

STEP 2: เตรียมผิวหน้า

  • เปิดรูขุมขน: ใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ ประคบหน้าประมาณ 5-10 นาที เพื่อเปิดรูขุมขน
  • ซับหน้าให้แห้ง: ใช้ผ้าสะอาดซับหน้าให้แห้งหลังจากประคบหน้า

STEP 3: การกดสิว

  • ใช้เครื่องมือกดสิวที่สะอาด กดเบาๆ รอบๆ หัวสิว ไม่ควรใช้เล็บหรือมือในการบีบสิวเพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและแผลเป็น
  • กดสิวให้หนองหรือไขมันออกมา ถ้าสิวไม่ออกง่ายๆ ควรหยุดการกดเพื่อป้องกันการบาดเจ็บของผิว

STEP 4: การดูแลหลังบีบสิว เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ

  • ล้างหน้าอีกครั้ง: ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน
  • ใช้แอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ: ทาบริเวณที่กดสิวด้วยแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อลดการติดเชื้อ
  • ทาครีมบำรุงหรือยาทาสิว: ทาครีมบำรุงหรือยาทาสิวที่เหมาะสมเพื่อช่วยลดการอักเสบ

การบีบสิวอย่างถูกวิธีช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นและการติดเชื้อ แต่หากไม่มั่นใจหรือมีสิวอักเสบมาก ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย

วิธีกำจัดสิวที่เหมาะสม มีอะไรบ้าง ?

วิธีกำจัดสิว อย่างถูกวิธี
  • ใช้ยารักษาสิว

เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อรักษาสิว โดยยารักษาสิวที่นิยมใช้กัน ได้แก่:

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบของสิว สามารถใช้ในรูปแบบครีมหรือเจลที่ทาบริเวณที่เป็นสิว
  • เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน ใช้ในรูปแบบของครีมหรือเจลที่ทาตอนกลางคืน
  • ยาปฏิชีวนะแบบทา (Topical Antibiotics): เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) หรือ อีริโทรมัยซิน (Erythromycin) ช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • สกินแคร์หรือเวชสำอางค์ที่ช่วยเรื่องสิวเป็นหลัก
  • การใช้แผ่นดูดสิว
    • การใช้แผ่นดูดสิว (Acne Patches) เป็นวิธีที่สะดวกและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง โดยแผ่นดูดสิวจะมีคุณสมบัติในการดูดซับหนองและน้ำมันจากสิว ทำให้สิวยุบลงเร็วขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่บริเวณสิว
  • ล้างหน้าให้ถูกวิธี
    • การล้างหน้าให้ถูกวิธี เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญในการรักษาสิวและป้องกันการเกิดสิวใหม่ โดยควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็น ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
    • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมัน (oil-free) และมีส่วนผสมที่ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์
    • หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสิว
  • การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์
    • เป็นทางเลือกที่ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเรื้อรังหรือสิวรุนแรง หรือรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล โดยการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์มีหลายรูปแบบ เช่น
      • การใช้ยาทาและยารับประทาน
      • การฉีด Corticosteroids เพื่อลดการอักเสบและทำให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็ว 
      • การทำเลเซอร์และบำบัดด้วยแสง เพื่อลดจำนวนแบคทีเรียและลดการอักเสบของสิว
      • การทำทรีทเมนต์ ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน

แนะนำควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้คำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน

หลังบีบสิว ควรทําอย่างไร ?

หลังบีบสิว
  1. ทำความสะอาดบริเวณที่บีบสิว
  • ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยนเพื่อล้างสิ่งสกปรกและแบคทีเรียออกจากบริเวณที่บีบสิว
  • ใช้แอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เช็ดผิวบริเวณที่บีบสิวด้วยแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  1. ลดการอักเสบและบวม
  • ประคบเย็น ใช้ผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งหรือเจลประคบเย็นประคบบริเวณที่บีบสิวประมาณ 5-10 นาที เพื่อลดการอักเสบและบวม
  1. ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว
  • ใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะหรือครีมที่ช่วยลดการอักเสบ
  1. รักษาความชุ่มชื้นของผิว
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยนและไม่อุดตันรูขุมขนเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวและช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  1. ป้องกันการติดเชื้อและแผลเป็น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า หรือขยี้บริเวณที่บีบสิวเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่หนักหรืออุดตันรูขุมขนในบริเวณที่บีบสิว
  1. การติดตามผล
  • สังเกตสภาพผิวและหากพบว่ามีการอักเสบมากขึ้นหรือเกิดแผลเป็น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

บีบสิวแล้วบวม ทํายังไงดี ?

หากบีบสิวแล้วเกิดอาการบวม อาจเกิดจากการบีบไม่ถูกวิธี จึงทำให้เกิดอาการอักเสบหรืออาจเกิดการติดเชื้อตามมาได้ แนะนำทำตามขั้นตอนดังนี้เพื่อช่วยลดการบวมและป้องกันการติดเชื้อ

  1. ประคบเย็นบริเวณที่บวมประมาณ 10-15 นาที ทำซ้ำหลายครั้งต่อวันเพื่อลดการบวมและการอักเสบ
  2. ใช้ผลิตภัณฑ์ลดการอักเสบ เช่น ครีมหรือเจลที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ
  3. หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือขยี้บริเวณที่บีบสิว เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อและการอักเสบเพิ่มเติม
  4. ดูแลความสะอาด ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดและผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน เช็ดหน้าด้วยผ้าสะอาดเพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
  5. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสมานแผล เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) หรือสารสมานแผลอื่นๆ เพื่อช่วยลดการอักเสบและบวม
  6. ปรึกษาแพทย์ หากอาการบวมไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือมีอาการแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

หลังบีบสิว ควรทาอะไร

การดูแลผิวหลังจากบีบสิวเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการเกิดแผลเป็น ดังนั้นหลังจากบีบสิว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ เพื่อลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นและช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ดังนี้

  1. ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
    • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
    • คลินดามัยซิน (Clindamycin): ยาปฏิชีวนะแบบทาที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
  2. เจลหรือครีมต้านการอักเสบ เช่น
    • ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera): มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและช่วยสมานแผล
    • ครีมหรือเจลที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ (Ceramide): ช่วยฟื้นฟูและรักษาผิวหลังจากการบีบสิว ลดการระคายเคืองและป้องกันการเกิดแผลเป็น
  3. ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยแผลเป็น
    • กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid): ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและลดการเกิดแผลเป็น
    • วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยลดรอยดำและรอยแผลเป็นจากสิว
  4. ครีมกันแดด
    • ครีมกันแดดที่ไม่อุดตันรูขุมขน (Non-comedogenic Sunscreen): ปกป้องผิวจากรังสี UV ซึ่งสามารถทำให้รอยแผลเป็นเข้มขึ้น แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และไม่ทำให้ผิวมัน
  5. ผลิตภัณฑ์สมานแผล เช่น
    • เจลหรือครีมที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide): ช่วยสมานแผลและลดการอักเสบ

ข้อควรระวังหลังกดสิว ห้ามทำอะไรบ้าง ?

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่กดสิว

การสัมผัสใบหน้าหรือบริเวณที่กดสิวด้วยมือที่ไม่สะอาดสามารถนำเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังที่อ่อนแอ ทำให้เกิดการติดเชื้อและการอักเสบเพิ่มเติมได้

  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิว

ผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิวเช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) หรือเรตินอยด์ (Retinoids) อาจทำให้ผิวระคายเคืองและเสี่ยงต่อการอักเสบเพิ่มขึ้นหลังจากกดสิว ควรพักการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สักระยะเพื่อให้ผิวฟื้นตัว

  • หลีกเลี่ยงการทาครีมหรือเมคอัพหนัก ๆ

การใช้ครีมหรือเมคอัพที่หนักและอุดตันรูขุมขนอาจทำให้ผิวที่เพิ่งกดสิวเกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ง่าย ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เบาบางและไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic)

  • งดพอกหน้า สครับหน้า

การพอกหน้าหรือสครับหน้าหลังจากกดสิวสามารถทำให้ผิวระคายเคืองและเสี่ยงต่อการอักเสบมากขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จนกว่าผิวจะฟื้นตัวเต็มที่

  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารเพิ่มความชุ่มชื้น

หลังจากกดสิว ผิวจะต้องการการฟื้นฟูและความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเพิ่มความชุ่มชื้นเช่น กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและลดการเกิดแผลเป็น

  • ปกป้องผิวจากแสงแดดหลังจากบีบสิว

หลังจากกดสิว ผิวจะไวต่อแสงแดดมากขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำ ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงและสวมหมวกหรือเสื้อแขนยาวเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด

แผลจากการกดสิวและบีบสิว กี่วันหาย ?

ระยะเวลาการหายของแผลจากการกดสิวและบีบสิวขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของแผล ประเภทของสิว และสภาพผิวของแต่ละคน แต่โดยทั่วไปแล้ว แผลสิวเล็กๆ หรือรอยแดงเล็กน้อย มักจะหายภายใน 3-7 วัน และหากใช้ผลิตภัณฑ์ลดการอักเสบ สามารถช่วยเร่งกระบวนการหายให้เร็วขึ้นได้ 

ส่วนแผลที่มีการอักเสบหรือเป็นหนอง มักใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ในการหาย การลดการอักเสบและการติดเชื้อจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

ส่วนรอยดำหรือรอยแดงที่เกิดจากสิว อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนในการหาย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสภาพผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยสิวอาจช่วยลดรอยดำและเร่งกระบวนการฟื้นฟูผิวให้หายเร็วขึ้นได้

ข้อเสียของการบีบสิวด้วยตัวเอง

  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • สิวเกิดการอักเสบมากขึ้น 
  • เกิดรอยแผลเป็น
  • เกิดรอยดำและรอยแดง ซึ่งมักจะใช้เวลานานในการหาย
  • เกิดสิวใหม่ได้ง่ายขึ้น
  • ชั้นผิวถูกทำลาย ทำให้ผิวแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ง่ายขึ้น
  • กระบวนการฟื้นฟูผิวช้าลงเนื่องจากการอักเสบและการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการบีบสิว
  • สิวหัวช้างและสิวซีสต์แย่ลง เสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นถาวร

บทสรุป

การบีบสิวเป็นพฤติกรรมที่หลายคนมักทำเมื่อพบสิวบนใบหน้า แต่การบีบสิวสามารถทำให้เกิดปัญหาหลายประการได้ รวมถึงการระคายเคือง การติดเชื้อ รอยแผลเป็น และรอยดำบนผิวหนัง การบีบสิวด้วยมือที่ไม่สะอาดหรือวิธีที่ไม่ถูกต้องสามารถทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบและการติดเชื้อเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การบีบสิวยังสามารถทำให้สิวกลับมาเกิดขึ้นอีกหรือกระจายไปยังบริเวณอื่น

การดูแลผิวที่ถูกต้องและเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการเกิดสิวและการระคายเคือง หากมีสิวที่รุนแรงหรือไม่หายไปเอง ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบและควบคุมการเกิดสิว และหลีกเลี่ยงการบีบสิวโดยไม่จำเป็นเพื่อรักษาสุขภาพผิวให้ดีอยู่เสมอ

แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลการบีบสิว

วิธีบีบสิวอย่างปลอดภัย จากคำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง
https://www.health.com/how-to-pop-a-pimple-8695304

Pimple Popping 101: How to (Safely) Zap Your Zits
https://health.clevelandclinic.org/pimple-popping-101-how-to-safely-zap-your-zits

สิ่งที่ควรรู้ก่อนบีบสิว
https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/features/pop-a-zit

บทความโดย

ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว

ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ที่ตั้งคลินิก เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 9 (ติดบันไดเลื่อน)