คลินิกรักษาสิว โดยแพทย์โรคผิวหนังโดยเฉพาะ
หน้าแรก / Skin diseases / รู้ทัน! โรคงูสวัด อาการเริ่มต้นแบบไหน? เกิดจากอะไร? ติดต่อได้ไหม?
รู้ทัน! โรคงูสวัด อาการเริ่มต้นแบบไหน? เกิดจากอะไร? ติดต่อได้ไหม?

งูสวัด หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงตุ่มน้ำที่ขึ้นตามร่างกายในช่วงอ่อนเพลียเท่านั้น แต่ความจริงแล้วงูสวัดเป็นโรคติดเชื้อจากไวรัส ที่อาจอันตรายต่อสุขภาพได้ หากใครกำลังมีผื่นขึ้น ตุ่มน้ำใส หรือรู้สึกปวดแสบปวดร้อนตามผิวหนัง และไม่แน่ใจว่าเป็นโรคงูสวัดหรือไม่ หรือเป็นแล้วจะรับมืออย่างไร
บทความนี้หมอตาลจะพามาไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ “โรคงูสวัด” ตั้งแต่อาการเริ่มต้นว่ามีอาการอะไรบ้าง? และงูสวัดเกิดจากอะไร? ไปจนถึงคำตอบที่ว่า โรคงูสวัดติดต่อได้ไหม? เพื่อให้ทุกคนได้รู้ทัน และเตรียมพร้อมดูแลตัวเองได้ก่อนที่จะมีอาการรุนแรง
โรคงูสวัด คืออะไร
โรคงูสวัด หรือชื่อภาษาอังกฤษHerpes Zoster คือโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส วาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus: VZV) ซึ่งถือเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิด โรคอีสุกอีใสนั่นเอง
เมื่อหายในช่วงแรกแล้ว เชื้อไวรัสจะซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท โดยไม่แสดงอาการอีกเป็นเวลาหลายปี หากร่างกายในช่วงนั้นอ่อนแอ เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ, พักผ่อนน้อย, เครียด หรือนอนหลับไม่เพียงพอ เชื้อสามารถถูกกระตุ้นอีกครั้งและกลับมาเป็นงูสวัดอีกได้
อาการของโรคงูสวัด มีอะไรบ้าง

1. อาการนำ (1-3 วันก่อนผื่นขึ้น)
มักจะรู้สึกปวดแสบร้อนหรือคันตามแนวเส้นประสาท หรือบริเวณผิวหนังที่จะเกิดผื่นนำมาก่อน
2. ระยะออกผื่น
หลังจากมีอาการนำประมาณ 1-5 วันต่อมา จะเริ่มมีตุ่มน้ำเล็ก ๆ เรียงตัวเป็นแถวยาวตามแนวเส้นประสาท โดยมักขึ้นเพียงซีกเดียวของร่างกายในบริเวณ เช่น ลำตัว, เอว, ใบหน้า หรือตา หลังจากนั้นอีก 2-3 วัน ตุ่มน้ำจะเริ่มแตกออกและมีน้ำเหลืองซึมแล้วค่อย ๆ แห้งตกสะเก็ด
3. ระยะฟื้นตัว
โดยทั่วไป สะเก็ดจะหลุดออกหมดภายใน 2-4 สัปดาห์ และแผลจะหายไป แต่อาจทิ้งรอยดำ รอยแดง หรือแผลเป็นไว้ได้
4. อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้
เช่น มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย ไม่สบายตัว ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ
5. ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
- งูสวัดขึ้นหน้า: ผื่นและตุ่มน้ำจะขึ้นบริเวณใบหน้าซีกเดียว อาจทำให้เกิดอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก (Bell’s Palsy) หรือส่งผลต่อการได้ยินและการทรงตัวได้
- งูสวัดขึ้นตา (Herpes Zoster Ophthalmicus): เป็นอันตรายอย่างยิ่งหากเชื้อลามเข้าดวงตา อาจทำให้เกิดตาแดง ปวดตา ตามัว และหากไม่รีบรักษา อาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรง เช่น กระจกตาอักเสบ ม่านตาอักเสบ ต้อหิน หรือถึงขั้นตาบอดถาวร
- งูสวัดขึ้นหัว/หนังศีรษะ: มีผื่นและตุ่มน้ำบนหนังศีรษะซีกเดียว มักมีอาการปวดรุนแรงและอาจทำให้ผมร่วงชั่วคราวหรือถาวรได้
- งูสวัดลุกลามเข้าสมอง (ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทส่วนกลาง): เป็นภาวะที่พบน้อยแต่รุนแรงที่สุด โดยเฉพาะในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้อสามารถลุกลามทำให้เกิดสมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือแม้กระทั่งหลอดเลือดสมองอุดตัน ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง สับสน ชัก หรือหมดสติ
หากท่านสงสัยว่ามีอาการงูสวัด ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในช่วง 72 ชั่วโมงแรก เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
งูสวัด เกิดจากสาเหตุอะไร

โรคงูสวัดไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อใหม่ในทันที แต่เป็นผลมาจากการกำเริบของเชื้อไวรัสอีสุกอีใสที่เคยอยู่ในร่างกายเรามาก่อน เมื่อเป็นอีสุกอีใสแล้ว แม้ว่าอาการจะหายในช่วงแรก เชื้อไวรัสจะไม่ได้ถูกกำจัดออกไปทั้งหมด แต่จะไปซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท โดยไม่แสดงอาการ
ปัจจัยที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อการเกิดงูสวัด ได้แก่
- มีความเครียดสูง
- พักผ่อนน้อย หรือนอนหลับไม่เพียงพอ
- เจ็บป่วยหนัก เช่น เป็นมะเร็ง หรือติดเชื้อ HIV
- อายุมากขึ้น ทำให้ภูมิคุ้มกันเริ่มอ่อนแรง
โรคงูสวัดติดต่อกันได้ไหม? ติดต่อทางไหน
งูสวัด ไม่ได้ติดต่อกันได้โดยตรง แต่เชื้อไวรัสในตุ่มน้ำสามารถแพร่ไปสู่คนที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใส โดยการสัมผัสตุ่มหรือของใช้ที่ปนเปื้อน หากอีกฝ่ายได้เชื้อ จะเป็นอีสุกอีใส ไม่ใช่งูสวัด โดยทั่วไป หากตุ่มแห้งแล้วก็จะไม่สามารถแพร่เชื้อได้อีก
งูสวัด อันตรายไหม
โรคงูสวัดโดยทั่วไปไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นที่ ใบหน้า ดวงตา หรือศีรษะ เพราะอาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรง เช่น ตาบอดถาวร อัมพาตใบหน้า หรือแม้กระทั่ง สมองอักเสบ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในผู้ป่วยบางราย
งูสวัด หายเองได้ไหม?
งูสวัดสามารถหายได้เอง หากร่างกายในแข็งแรง โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 2–4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาหรือดูแลให้ถูกต้อง อาจมีความผิดปกติหรืออาการแทรกซ้อนได้ เช่น ปวดปลายนิ้วประสาทเรื้อรัง (Post-herpetic Neuralgia) หรือติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ
วิธีการรักษาโรคงูสวัด
เมื่อเริ่มมีอาการงูสวัด การรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วย บรรเทาอาการ, ลดระยะเวลาที่เป็น, ป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะอาการปวดปลายนิ้วประสาท (Post-herpetic Neuralgia – PHN) และ ส่งผลให้รอยโรคหายในเร็วขึ้น มาทำความเข้าใจวิธีการรักษางูสวัดกันว่ามีอะไรบ้าง
1. ยาต้านไวรัส (Antiviral drugs)
ยาที่นิยมใช้บ่อย เช่น Acyclovir, Valacyclovir, Famciclovir จะได้ผลดีที่สุดหากเริ่มใช้ ภายใน 72 ชั่วโมงแรก ที่มีอาการ สำหรับผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องหรืออาการรุนแรง แพทย์อาจให้ยาทางหลอดเลือดดำ
2. ยาแก้ปวด
ยาแก้ปวดทั่วไป เช่น Paracetamol, NSAIDs (เช่น Ibuprofen) เพื่อบรรเทาอาการปวดที่ไม่รุนแรงมาก แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทโดยเฉพาะ เช่น Gabapentin หรือ Pregabalin
3. ยาบรรเทาอาการเฉพาะที่
เช่น ครีมยาชา (Lidocaine cream/patch) อาจช่วยลดอาการปวดเฉพาะบริเวณผื่น หรือ Calamine lotion สำหรับช่วยลดอาการคันและระคายในตุ่ม
สิ่งสำคัญที่หมออยากเน้นย้ำคือ การปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุดเมื่อเริ่มมีอาการงูสวัด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนได้เป็นอย่างดี
งูสวัด กี่วันหาย
โดยทั่วไป งูสวัดจะหายใน 2–4 สัปดาห์ ตุ่มน้ำเริ่มตกสะเก็ดและแห้งใน 7–10 วัน แต่บางคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ อาจมีอาการ ปวดเส้นประสาทหลังเป็นงูสวัด (PHN) เรื้อรังได้นานหลายเดือนหรือเป็นปี
แนวทางการดูแลตัวเองเมื่อเป็นงูสวัด
- รีบไปพบแพทย์ทันทีที่สงสัยว่าเป็นงูสวัด โดยเฉพาะภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลังเริ่มมีผื่นขึ้น เพื่อลดความรุนแรงของอาการ
- รักษาความสะอาด ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังสัมผัสแผลเสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
- อย่าแกะ เกา หรือบีบตุ่มน้ำ
- ประคบเย็น ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่มีผื่นและตุ่มน้ำ จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนและคันได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนที่เพียงพอช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น และช่วยให้ฟื้นตัวจากโรคเร็วขึ้น
- แยกของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าขนหนูกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
วิธีป้องกัน

- หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง กับตุ่มน้ำใสหรือแผลของผู้ป่วยงูสวัด
- ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังสัมผัสผู้ป่วย
- ผู้ป่วยงูสวัดควร ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซหรือเสื้อผ้า เพื่อป้องกันการสัมผัส
- ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- การฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส VZV ในผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรค
- การฉีดวัคซีนงูสวัด ในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง จะช่วยลดโอกาสการเป็นงูสวัด และลดความรุนแรงของโรค หากเป็นขึ้นมา
คำถามที่พบบ่อย
งูสวัด ระยะแพร่เชื้อกี่วัน?
ผู้ป่วยงูสวัดสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่เริ่มมีผื่นขึ้น จนกระทั่งตุ่มน้ำทั้งหมดแห้งสนิทและตกสะเก็ดแล้ว ซึ่งมักจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน หรืออาจนานถึง 2-4 สัปดาห์ ในช่วงนี้จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
งูสวัดเป็นซ้ำได้ไหม?
ได้ค่ะ งูสวัดสามารถเป็นซ้ำได้ แม้จะเคยเป็นแล้วครั้งหนึ่ง เพราะเชื้อไวรัส Varicella Zoster จะซ่อนตัวอยู่ในปมประสาทและอาจถูกกระตุ้นอีก หากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ, เครียด, พักผ่อนน้อย, มีโรคเรื้อรัง หรืออายุมากขึ้น
เคยเป็นโรคงูสวัดแล้ว จำเป็นต้องฉีดวัคซีนงูสวัดอีกไหม?
แม้จะเคยเป็นงูสวัดแล้ว แต่ก็มีโอกาสเป็นซ้ำได้ การฉีดวัคซีนงูสวัด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ จะช่วยลดโอกาสการเกิดงูสวัดในอนาคต และหากเป็นก็จะลดความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีนัยสำคัญ
สรุป
งูสวัด ไม่ใช่เพียงแค่ผื่นทั่วไป แต่หากปล่อยไว้ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้ การสังเกตอาการตั้งแต่แรก ไปพบแพทย์ทันที และดูแลร่างกายในแข็งแรง จะช่วยให้หายในเร็วขึ้น ลดความรุนแรง และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหากเป็นไปได้ ควรพิจารณาฉีดวัคfefeซีนป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงอีกทางหนึ่ง
แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลโรคงูสวัด
ncbi.nlm.nih. Pragya A. Nair; Bhupendra C. Patel.Herpes Zoster
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK441824/
clevelandclinic.Shingles (Herpes Zoster): Causes, Symptoms & Treatment
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/11036-shingles
บทความโดย
ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว
ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ทุกสาขา