รวมวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบ ให้ผิวกลับมาแข็งแรง

รวมวิธีรักษาหนังศีรษะอักเสบ ให้ผิวกลับมาแข็งแรง

หลายคนที่เข้ามาปรึกษาหมอ มักประสบปัญหา คันหนังศีรษะ แสบ แดง หรือมีสะเก็ดร่วง จนรบกวนชีวิตประจำวัน อาการเหล่านี้อาจไม่ได้เป็นแค่รังแคธรรมดา แต่เป็นสัญญาณของ หนังศีรษะอักเสบ

บทความนี้หมอตาลจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา เพื่อให้สามารถดูแลหนังศีรษะได้อย่างถูกต้อง ช่วยฟื้นฟูหนังศีรษะอักเสบให้กลับมาแข็งแรง และป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

หนังศีรษะอักเสบ คืออะไร

ความหมาย หนังศีรษะอักเสบ

หนังศีรษะอักเสบ (Scalp Inflammation) คือ ภาวะที่ผิวหนังบริเวณศีรษะเกิดการอักเสบจากหลายปัจจัย เช่น การติดเชื้อรา แบคทีเรีย ความมันสะสม หรือแม้แต่การแพ้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม

หนังศีรษะอักเสบ เป็นยังไง

อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คัน แดง มีสะเก็ด รังแค หรือบางรายมีตุ่มหนอง โดยความรุนแรงจะแตกต่างกันไป บางคนมีเพียงอาการคันเล็กน้อย แต่บางคนอาจรุนแรงจนผมร่วงหรือหนังศีรษะเจ็บ เป็นแผล หากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่รักษา อาจนำไปสู่การติดเชื้อซ้ำซ้อน หรือทำให้รากผมอ่อนแอจนเกิดผมร่วงถาวรได้

หนังศีรษะอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร

สาเหตุ หนังศีรษะอักเสบ

สำหรับคนไข้ที่กังวลว่าอาการคัน แดง หรือสะเก็ดบนศีรษะที่ตัวเองเป็นอยู่นั้น จะใช่หนังศีรษะอักเสบหรือไม่? หมอจะพาไปดูสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหนังศีรษะอักเสบ ดังนี้

1. โรคผิวหนัง

หนังศีรษะอักเสบสามารถเกิดจากโรคผิวหนังได้หลายชนิด โดยโรคที่พบบ่อย ได้แก่

  • โรคผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม (Seborrheic dermatitis): เกิดจากการเจริญเติบโตของยีสต์ Malassezia มากเกินไป ทำให้เกิดรังแค คัน แดง และอักเสบ
  • โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis): ทำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังเร็วเกินไป เกิดผื่นแดงและสะเก็ดหนา ๆ สีเงิน เป็น ๆ หาย ๆ
  • โรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis): โดยเฉพาะในเด็ก ทำให้ผิวแห้ง คัน เป็นผื่นแดง และอักเสบได้ง่าย

2. การติดเชื้อ

การติดเชื้อก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญของหนังศีรษะอักเสบ เชื้อราบนหนังศีรษะ อาจทำให้เกิดผมร่วงเป็นหย่อม ๆ หากไม่ได้รับการรักษา ขณะที่แบคทีเรีย ทำให้หนังศีรษะแดง บวม เจ็บ และบางครั้งอาจมีหนองร่วมด้วย นอกจากนี้ ยังมีการติดเชื้ออื่น ๆ เช่น กลากหรือเชื้อไวรัสงูสวัด

3. การแพ้

การแพ้สัมผัส: แพ้สารเคมีในแชมพู ครีมนวด สีย้อมผม หรือผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม
ภูมิแพ้ตัวเอง (Autoimmune): ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ทำให้ร่างกายโจมตีผิวหนังของตัวเองจนเกิดการอักเสบ

4. ปัจจัยอื่น ๆ

ปัจจัยหลายอย่างในชีวิตประจำวันสามารถกระตุ้นให้หนังศีรษะอักเสบได้ เช่น

  • ความเครียด: ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ง่าย
  • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง: เช่น วัยรุ่น ตั้งครรภ์ หรือหมดประจำเดือน
  • สภาพอากาศ: อากาศร้อนชื้นหรือแห้งจัดเกินไป ทำให้ผิวระคายเคือง
  • พันธุกรรม: ทำให้บางคนมีแนวโน้มเป็นหนังปัญหาศีรษะที่เกิดการอักเสบง่ายกว่าคนอื่น
  • อาหาร: การแพ้อาหารบางชนิดอาจกระตุ้นการอักเสบ

พฤติกรรมและปัจจัยอะไรบ้าง? ที่ทำให้หนังศีรษะอักเสบแย่ลง

  • การสระผมและดูแลเส้นผมไม่เหมาะสม

การไม่สระผม หรือสระบ่อยเกินไป รวมถึงการใช้แชมพู ครีมนวด หรือผลิตภัณฑ์แต่งทรงผมที่มีสารเคมีรุนแรง สามารถทำให้หนังศีรษะระคายเคืองและอักเสบได้

  • การเกาศีรษะแรง ๆ

แม้การเกาอาจช่วยบรรเทาอาการคันชั่วคราว แต่การเกาศีรษะแรง ๆ จะทำให้ผิวหนังถลอก เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และกระตุ้นให้หนังศีรษะอักเสบหนักขึ้นได้

  • ความเครียดและปัจจัยทางจิตใจ

ความเครียดส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อราหรือแบคทีเรียได้ยากขึ้น

  • ฮอร์โมนและการเปลี่ยนแปลงร่างกาย

วัยรุ่น สตรีตั้งครรภ์ หรือผู้ที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน มักมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนที่ทำให้หนังศีรษะมันหรือแห้งจัด ซึ่งกระตุ้นการอักเสบและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรังแค

  • สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม

อากาศร้อนชื้นทำให้เหงื่อสะสมบนหนังศีรษะและเชื้อโรคเจริญเติบโตง่าย ขณะที่อากาศแห้งจัดก็ทำให้ผิวหนังแตกแห้งและอักเสบง่าย

  • พันธุกรรมและอาหาร

บางคนมีแนวโน้มเกิดหนังศีรษะอักเสบง่ายจากกรรมพันธุ์ ส่วนอาหารบางชนิดที่ร่างกายแพ้หรือกระตุ้นการอักเสบก็สามารถทำให้อาการกำเริบได้ เช่น อาหารมันจัดหรือมีสารก่อภูมิแพ้

หนังศีรษะอักเสบ มีกี่ประเภท?

ประเภท หนังศีรษะอักเสบ
  • เซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis): เซ็บเดิร์มเป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด ทำให้เกิดรังแค คัน แดง และอักเสบเป็นระยะ ๆ
  • สะเก็ดเงิน (Psoriasis): สะเก็ดเงินบนหนังศีรษะเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังเร็วเกินปกติ ทำให้เกิดผื่นแดงหนาและสะเก็ดสีเงินชัดเจน
  • โรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis): บางครั้งหนังศีรษะอักเสบเกิดจากภาวะภูมิแพ้ผิวหนัง โดยเฉพาะในเด็ก จะทำให้ผิวหนังแห้ง คันง่าย และเกิดผื่นแดงอักเสบ การอักเสบมักเรื้อรังและเกิดซ้ำได้บ่อย
  • การติดเชื้อ: หนังศีรษะอักเสบอาจเกิดจากเชื้อราหรือแบคทีเรีย เช่น กลากที่เกิดจากเชื้อรา หรือการติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้หนังศีรษะแดง บวม และมีหนอง
  • การแพ้หรือปฏิกิริยาต่อสิ่งกระตุ้น: เช่น แชมพู ครีมนวด สีย้อมผม หรือผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม รวมถึงปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันผิดปกติ (autoimmune) ที่ทำให้ร่างกายโจมตีผิวหนังตัวเอง
  • หนังศีรษะอักเสบจากสาเหตุอื่น ๆ: เช่น โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือภาวะทางผิวหนังเฉพาะตัว ซึ่งมักมีลักษณะเฉพาะและต้องวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การรักษามักขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ

หนังศีรษะอักเสบ สามารถรักษาด้วยวิธีใดได้บ้าง

1. แชมพูรักษาหนังศีรษะอักเสบ

สำหรับผู้ที่มีอาการอักเสบไม่รุนแรง การใช้แชมพูเฉพาะสามารถช่วยลดรังแคและการระคายเคืองได้ แชมพูที่ใช้บ่อยมีส่วนผสมของ Ketoconazole หรือ Selenium Sulfide ซึ่งช่วยต้านเชื้อราบนหนังศีรษะ

2. ยาทาเพื่อลดอาการอักเสบ

ในกรณีอาการอักเสบรุนแรง แพทย์อาจแนะนำยาสเตียรอยด์ทาเฉพาะที่ เพื่อลดอาการแดงและคัน หรือ ยาทาฆ่าเชื้อรา สำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อราบนหนังศีรษะ การทายาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำช่วยให้หนังศีรษะฟื้นตัวเร็วขึ้นและลดการกำเริบ

3. ยารับประทาน

ในบางกรณี การใช้ยารับประทานมีความจำเป็น เช่น ยาต้านเชื้อรา สำหรับ Tinea capitis, ยาต้านฮิสตามีน สำหรับลดอาการคัน หรือ ยา Cyclosporine ในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินหรือโรคภูมิแพ้ผิวหนังรุนแรง ทั้งนี้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

4. การรักษาอื่น ๆ

นอกจากยาต่าง ๆ ยังมีวิธีเสริมเพื่อช่วยลดอาการอักเสบ เช่น Low Level Laser Therapy (LLLT) ที่ช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของผิวหนังและลดการอักเสบ หรือ การฉีดยาลดการอักเสบ ในกรณีที่อาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาปกติ

การวินิจฉัยหนังศีรษะอักเสบจากแพทย์ผิวหนัง

1. การซักประวัติผู้ป่วย

แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับระยะเวลาที่มีอาการ คัน แดง หรือรังแค ประวัติการแพ้ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ และพฤติกรรมการดูแลเส้นผม เพื่อวินิจฉัยสาเหตุและความรุนแรงของอาการ

2. การตรวจสภาพหนังศีรษะ

แพทย์จะสังเกตลักษณะของหนังศีรษะโดยตรง เช่น ความแดง รังแค สะเก็ด หรือผมร่วงเป็นหย่อม ๆ การตรวจนี้จะช่วยแยกประเภทของหนังศีรษะอักเสบและดูว่ามีการติดเชื้อแทรกซ้อนหรือไม่

3. การใช้กล้อง Dermoscopy

ในบางเคส แพทย์อาจใช้กล้อง Dermoscopy เพื่อตรวจลักษณะผิวหนังอย่างละเอียด เช่น ลักษณะสะเก็ด รูขุมขน และเส้นเลือดบนหนังศีรษะ วิธีนี้ช่วยให้วินิจฉัยแม่นยำมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งการตรวจเชื้อเสมอไป

4. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

แพทย์อาจขูดสะเก็ดหรือเก็บตัวอย่างจากหนังศีรษะไปเพาะเชื้อ เพื่อระบุชนิดเชื้อราหรือแบคทีเรีย การตรวจนี้สำคัญสำหรับการรักษาที่ตรงจุดและลดความเสี่ยงการติดเชื้อซ้ำ

5. การติดตามผลและประเมินการรักษา

หลังเริ่มการรักษา แพทย์จะนัดติดตามอาการเพื่อตรวจว่าการรักษาได้ผลหรือไม่ และปรับยาหรือวิธีการรักษาให้เหมาะสม เพราะการติดตามผลอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ควบคุมอาการได้ดียิ่งขึ้นและป้องกันการกำเริบซ้ำ

หนังศีรษะอักเสบไปหาหมอดีไหม?

ควรไปพบแพทย์ผิวหนังหากมีอาการคัน แดง มีสะเก็ด หรือผมร่วง เพราะสาเหตุมีหลายแบบ ทั้งการติดเชื้อและโรคผิวหนังเรื้อรัง การรักษาด้วยตนเองอาจไม่ตรงจุดและเสี่ยงอาการลุกลาม

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นจากหนังศีรษะอักเสบ

แม้หนังศีรษะอักเสบจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากละเลยการรักษาอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่กระทบทั้งสุขภาพกายและใจ ดังนี้

  • การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ เช่น โรคเซลลูไลติส (Cellulitis) เกิดหนอง เจ็บ และอักเสบรุนแรงขึ้น
  • ผมร่วง หนังศีรษะอักเสบเรื้อรังอาจทำให้เกิดผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata) หรือผมร่วงถาวรแบบมีแผลเป็น (Cicatricial alopecia) จากการทำลายรากผม
  • อาการคันและระคายเคืองเรื้อรัง เกาจนผิวถลอกและติดเชื้อได้ง่าย
  • ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ในกรณีรุนแรงอาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) หรือต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (Lymphadenitis)
  • ผลกระทบต่อจิตใจและบุคลิกภาพ สูญเสียความมั่นใจและเกิดความเครียด

รักษาหนังศีรษะอักเสบด้วยตัวเองได้หรือไม่

หนังศีรษะอักเสบบางชนิดที่มีอาการไม่รุนแรง สามารถดูแลได้ด้วยตัวเอง โดยการใช้แชมพูยาที่มีส่วนผสมของ ketoconazole, zinc pyrithione หรือ selenium sulfide เพื่อลดเชื้อราที่เป็นสาเหตุของรังแคและการอักเสบ รักษาความสะอาดของหนังศีรษะ

หลีกเลี่ยงการเกาแรง ๆ และงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง แต่หากอาการไม่ดีขึ้นใน 2–4 สัปดาห์ หรือมีผมร่วง หนอง หรือแผล ควรไปพบแพทย์ทันที

แนวทางดูแลตัวเองเมื่อเป็นหนังศีรษะอักเสบ

แนวทางดูแลตัวเอง หนังศีรษะอักเสบ
  • สระผมอย่างสม่ำเสมอ ใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนหรือแชมพูยาลดรังแคเพื่อลดเชื้อราและความมัน
  • หลีกเลี่ยงการเกาแรง ๆ เพราะอาจทำให้เกิดแผลและติดเชื้อแทรกซ้อนได้ง่าย
  • หลีกเลี่ยงสารเคมี เช่น สีย้อมผม เจลแต่งผม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมแรง
  • จัดการความเครียด เพราะความเครียดเป็นตัวกระตุ้นสำคัญของการอักเสบและรังแค
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น ผัก ผลไม้ และปลาที่มีโอเมก้า-3
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยให้ผิวหนังฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

แนะนำ! วิธีป้องกันหนังศีรษะอักเสบ

การป้องกันหนังศีรษะอักเสบ
  • ดูแลความสะอาด สระผมด้วยน้ำอุ่นและแชมพูอ่อนโยน นวดเบา ๆ ล้างสะอาด ไม่เกาแรง ๆ และทำความสะอาดหวีหรือของใช้ส่วนตัวสม่ำเสมอ
  • สระผมไม่บ่อยเกินไป ควรสระวันเว้นวันหรือ 2–3 วัน/ครั้ง
  • งดสีย้อมผม น้ำยาดัด/ยืด ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมรุนแรง น้ำหอมสำหรับฉีดผม และความร้อนจากไดร์หรือที่หนีบผม
  • ไม่รัดผมแน่น เลือกทรงผมที่ไม่อับชื้น และหลีกเลี่ยงการสวมหมวกนานเกินไป
  • จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอดื่มน้ำมาก ๆ รับประทานอาหารครบถ้วน พักผ่อนเพียงพอและลดความเครียดเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน

หนังศีรษะอักเสบหายเองได้หรือไม่

หนังศีรษะอักเสบบางชนิด เช่น รังแคเล็กน้อย อาจหายได้เองหากดูแลความสะอาดและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น แต่หากมีผมร่วง หนอง หรือแผล ควรมาปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาอย่างตรงจุดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

รวมคำถามที่หมอพบบ่อยเกี่ยวกับหนังศรีษะอักเสบ

หนังศีรษะอักเสบควรใช้แชมพูแบบไหนคะ

หมอแนะนำให้ใช้แชมพูที่ออกฤทธิ์ลดการอักเสบและกำจัดเชื้อราที่เป็นสาเหตุของรังแค เช่น แชมพูที่มี ketoconazole, selenium sulfide, zinc pyrithione หรือแชมพูที่มี tar สำหรับอาการรุนแรง และเลือกสูตรอ่อนโยนเหมาะกับสภาพเส้นผมก็สำคัญเช่นกัน

หนังศีรษะอักเสบใช้อะไรดีคะ?

นอกจากแชมพูยาที่หมอแนะนำแล้ว หากอาการคันหรือแดงรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทาสเตียรอยด์ หรือยาทาฆ่าเชื้อรา เพื่อบรรเทาการอักเสบ ในบางกรณีอาจใช้ ยารับประทาน เช่น ยาต้านเชื้อรา หรือยาลดอาการแพ้เสริมตามความเหมาะสม

หนังศีรษะอักเสบต้องใช้เวลารักษานานแค่ไหนคะ

ระยะเวลารักษาขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของอาการ หนังศีรษะอักเสบเล็กน้อยอาจดีขึ้นใน 2–4 สัปดาห์ ส่วนอาการเรื้อรังหรือรุนแรง เช่น เซ็บเดิร์มหรือสะเก็ดเงิน อาจต้องรักษาต่อเนื่อง หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน

บทสรุปเรื่องหนังศีรษะอักเสบ

หนังศีรษะอักเสบเป็นปัญหาผิวหนังที่พบได้บ่อย ทั้งจากเชื้อรา แบคทีเรีย หรือโรคผิวหนังเรื้อรังอย่างเซ็บเดิร์มและสะเก็ดเงิน แม้บางกรณีสามารถดูแลด้วยตัวเองได้ แต่หากอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง การไปพบแพทย์ผิวหนังจะช่วยวินิจฉัยและเลือกวิธีรักษาที่ตรงจุด ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนและผมร่วงถาวร

สำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังศีรษะเกิดการอักเสบหรือปัญหาผิวหนังอื่น ๆ และต้องการคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ คลินิกผิวหนังลลิษา โดยทีมแพทย์เฉพาะทางจะวินิจฉัยและรักษาอย่างตรงจุด ช่วยคืนความแข็งแรงและสุขภาพดีให้หนังศีรษะและเส้นผมของคนไข้ได้อย่างปลอดภัย

แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลหนังศีรษะอักเสบ

clinikally. Scalp Inflammation and Hair Loss: Effective Treatments.
https://www.clinikally.com/blogs/news/scalp-inflammation-and-hair-loss-uncovering-the-link-and-effective-treatments?srsltid=AfmBOopxQL5dYAtXzBkEVXIP-ye44Gp2KqzVt60-53QcI5IGKx2RhaFz

medicalnewstoday. Medically reviewed by Amanda Caldwell, MSN, APRN-C. Written by Jamie Eske. June 3, 2025.
https://www.medicalnewstoday.com/articles/scalp-folliculitis

บทความโดย

ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว

ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่คลินิกผิวหนังลลิษา ได้ ฟรี!! ทุกสาขา