เจาะลึก! เซ็บเดิร์ม เข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีดูแลรักษา

เซ็บเดิร์ม สาเหตุ อาการ และวิธีดูแลรักษา

โรคเซ็บเดิร์ม หรือที่หลายคนอาจรู้จักในชื่อ โรคผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมัน เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่สร้างความกังวลใจให้ใครหลายคน เพราะนอกจากอาการทางกายแล้ว ยังส่งผลต่อความมั่นใจในชีวิตประจำวันด้วย ถึงแม้ว่าโรคนี้จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่เราสามารถเรียนรู้และจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทความนี้ หมอตาลจะพาไปทำความเข้าใจโรคเซ็บเดิร์มอย่างลึกซึ้ง และวิธีรักษา วิธีดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง

เซ็บเดิร์ม คืออะไร?

เซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) คือผื่นผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในคนไทย แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุหลักที่แน่ชัด แต่ปัจจัยกระตุ้นหลายอย่างมีส่วนทำให้เกิดอาการได้ เช่น สภาพอากาศร้อน ที่จะทำให้เกิดผื่นขึ้นบริเวณใบหน้าหรือลำตัว ซึ่งระดับความรุนแรงของเซ็บเดิร์มแตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังนี้

  • อาการไม่รุนแรง จะมีผื่นขึ้นเพียงเล็กน้อยพร้อมกับอาการ คัน
  • อาการรุนแรง จะมีผื่นขึ้นเป็นจำนวนมาก ลักษณะเป็น ผื่นแดง ผิวเป็น ขุย ไม่เพียงแค่บนใบหน้าเท่านั้น แต่อาจลามไปบริเวณลำตัวด้วย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

โรคเซ็บเดิร์ม พบได้บริเวณใดของร่างกาย

ผื่นเซ็บเดิร์มจะขึ้นในจุดที่มีความมันบนร่างกาย โดยหลัก ๆ แล้วจะพบบ่อยที่สุดบน ใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณ หัวคิ้ว, ข้างจมูก, และ หลังหู
สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงขึ้น ผื่นอาจลามไปที่ หน้าอก หรือแผ่นหลัง ได้เช่นกัน นอกจากนี้ บางคนอาจมีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะเพียงอย่างเดียวก็ได้

สาเหตุที่ทำให้เกิดผื่นเซ็บเดิร์ม

เซ็บเดิร์มเกิดจากอะไร

เซ็บเดิร์มเกิดจากการอักเสบจากภายในร่างกายของเรา ไม่ใช่การแพ้สัมผัสจากภายนอกอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย เช่น

  • พันธุกรรม
    มีแนวโน้มที่จะเป็นได้หากคนในครอบครัวมีประวัติ
  • ความเครียด
    ความเครียดสะสมสามารถกระตุ้นอาการให้แย่ลงได้
  • การอดนอน
    การพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและอาจกระตุ้นเซ็บเดิร์มได้
  • เชื้อราบนผิวหนัง
    อาศัยอยู่บนผิวหนังในปริมาณที่เหมาะสม แต่หากมีจำนวนมากเกินไปก็สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้
  • การผลิตไขมันบนผิวหนังมากเกินไป
    ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากผิดปกติ ทำให้ผิวมีความมันและเป็นแหล่งอาหารที่ดีของเชื้อรา
  • ฮอร์โมนแอนโดรเจนสูงขึ้น
    อาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้นได้
  • อากาศแห้งและเย็น
    อาจทำให้ผิวแห้ง ลอก และระคายเคือง
  • อากาศร้อนชื้น
    อาจส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อราได้

ลักษณะของเซ็บเดิร์ม เป็นอย่างไร

เซ็บเดิร์มเป็นภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่ทำให้เกิดอาการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิด ดังนี้

  • ผิวหนังแดง คัน และลอกเป็นขุย: พบเป็นปื้นแดง มีขุยสีขาวหรือเหลือง หรือเป็นสะเก็ด จะเกิดในบริเวณที่มีต่อมไขมันจำนวนมาก เช่น หนังศีรษะ ข้างจมูก คิ้ว หู หรือหน้าอก
  • ผมร่วง หากเกิดเซ็บเดิร์มบนหนังศีรษะ: อาจทำให้เกิดอาการคันและมีขุยจำนวนมาก ซึ่งนำไปสู่การหลุดร่วงของเส้นผมได้
  • เปลือกตาอักเสบ: ในบางกรณี เซ็บเดิร์มอาจลามไปถึงเปลือกตา ทำให้เปลือกตาแดง คัน และอาจมีขุยหรือสะเก็ดติดอยู่บริเวณโคนขนตา
  • ผิวหนังมีความมัน: บริเวณที่เป็นเซ็บเดิร์มมักจะมีความมันวาว เนื่องจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากผิดปกติ
  • ลักษณะคล้ายสิว: ในบางครั้ง (โดยเฉพาะกรณีที่อาจสับสนกับสิว) อาจมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้าย สิวอุดตัน (มีทั้งหัวปิดและหัวเปิด) และอาจพัฒนาไปเป็นตุ่มหนอง หรือตุ่มอักเสบได้ ซึ่งทำให้แยกยากจากสิวธรรมดา

สังเกตอาการโรค แยกให้ออกกับโรคผิวหนังอื่น ๆ

อาการของเซ็บเดิร์ม อาจคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังอื่น ๆ ได้ แต่เราสามารถสังเกตความแตกต่างได้ ดังนี้

  • สิวอุดตัน: มักมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ มีทั้งหัวปิดและหัวเปิด (สิวหัวขาวและสิวหัวดำ)
  • สิวอักเสบ:อาจมีลักษณะเป็นตุ่มหนองหรือตุ่มแดงอักเสบ
  • โรค SLE (โรคพุ่มพวง): จะมีผื่นแดงบริเวณข้างแก้มคล้ายรูปปีกผีเสื้อ รวมถึงตำแหน่งของผื่นจะแตกต่างจากเซ็บเดิร์มที่จะพบบริเวณข้างจมูก
  • โรคผื่นแพ้สัมผัส: ลักษณะผื่นคล้ายกับเซ็บเดิร์มมาก จะเกี่ยวกับการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใหม่ เช่น ครีมหรือโฟมล้างหน้า ภายใน 1-2 สัปดาห์ก่อนเกิดอาการ

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นโรคเซ็บเดิร์ม

เซ็บเดิร์ม ใครเสี่ยงเป็นบ้าง

เซ็บเดิร์มสามารถเกิดขึ้นได้กับคนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะสองช่วงวัยหลัก ๆ ดังนี้

  • ทารกแรกเกิดถึง 2 เดือน
    ในช่วงวัยนี้ ผื่นมักจะขึ้นบริเวณศีรษะ (เรียกว่า “ไขมันบนหนังศีรษะทารก” หรือ “Cradle cap”) หรือบนใบหน้า
  • ช่วงวัยรุ่น
    เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ร่างกายจะเริ่มสร้างต่อมไขมันมากขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นให้ผื่นเซ็บเดิร์มกำเริบ และปรากฏขึ้นทั้งบนใบหน้า และลำตัว
  • ผู้ใหญ่วัย 30 – 60 ปี
    เป็นช่วงวัยที่พบเซ็บเดิร์มได้บ่อย จะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
    มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเซ็บเดิร์ม หรือมีอาการรุนแรงกว่าปกติ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน

หมอมีการวินิจฉัยอย่างไร

ถ้าสงสัยว่าเป็นเซ็บเดิร์ม หมอจะเริ่มจากการสอบถามอาการอย่างละเอียด จากนั้นก็จะตรวจดูผิวหนังบริเวณที่เป็นผื่น

บางครั้ง หมออาจจะขูดตัวอย่างเซลล์ผิวหนัง เล็กน้อยจากบริเวณที่มีปัญหา เพื่อนำไป ตรวจที่ห้องปฏิบัติการ วิธีนี้ช่วยให้หมอแน่ใจได้ว่าผื่นที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากโรคผิวหนังอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายกัน เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema), โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) หรือ โรคผิวหนังอักเสบโรซาเชีย (Rosacea) เป็นต้น

การตรวจอย่างละเอียดจะช่วยให้หมอวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดให้คนไข้

เซ็บเดิร์ม มีวิธีรักษาอย่างไร

เซ็บเดิร์ม วิธีรักษา

เซ็บเดิร์มเป็นโรคที่อาจดีขึ้นได้เอง แต่บางคนอาจมีอาการต่อเนื่อง หากอาการไม่รุนแรงและยังไม่กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน คุณสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม
    1.แชมพู
    : เลือกใช้แชมพูขจัดรังแคที่มีส่วนประกอบของ กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid), คีโตโคนาโซล (Ketoconazole), เซเลเนียม ซัลไฟด์ (Selenium Sulfide), ซิงก์ ไพริไธออน (Zinc Pyrithione), หรือ โคล ทาร์ (Coal tar) หากแชมพูที่ใช้เริ่มไม่ได้ผล ให้ลองเปลี่ยนยี่ห้ออื่นสลับไ
    2.ผิวบริเวณอื่น: ใช้ผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อราหรือโลชั่นคอร์ติโคสเตียรอยด์แบบอ่อนโยนเพื่อบรรเทาอาการ
  • รักษาความสะอาดอยู่เสมอ
    ล้างบริเวณที่เป็นด้วยสบู่และน้ำเปล่าเป็นประจำ รวมถึงสระผมและทำความสะอาดร่างกายและหนังศีรษะอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง
    งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง หากมีเซ็บเดิร์มบริเวณหนวดเครา ควรโกนออก เพราะขนอาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นระคายเคืองมากขึ้น

แม้การดูแลตัวเองเบื้องต้นจะช่วยบรรเทาอาการได้ แต่หากอาการเซ็บเดิร์มไม่ดีขึ้น มีผื่นแดงลุกลาม คันมากจนรบกวนการนอนหลับ หรือมีอาการติดเชื้อแทรกซ้อน ลลิษาคลินิกหมอผิวหนังผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ที่พร้อมให้คำปรึกษา ตรวจวินิจฉัย และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความรุนแรงของอาการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาทาเฉพาะที่ หรือการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อให้คุณกลับมามีผิวที่แข็งแรงและมั่นใจอีกครั้ง

แนวทางดูแลผิวหนังเมื่อเป็นเซ็บเดิร์ม

  • ดูแลบริเวณเปลือกตา
    หากเปลือกตาแดงหรือมีสะเก็ด ให้ทำความสะอาดเบา ๆ ด้วยแชมพูเด็กผสมน้ำ แล้วใช้สำลีเช็ดสะเก็ดออกอย่างระมัดระวัง
  • ปรับพฤติกรรม
    1. เสื้อผ้า สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อเรียบลื่น เพื่อลดการเสียดสีและระคายเคืองผิว
    2. รับแสงแดด การออกไปรับแสงแดดอ่อนๆ อาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ แต่อย่าลืมทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรังสียูวี
    3. เลี่ยงการเกา หลีกเลี่ยงการขีดข่วนหรือเกา เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดการติดเชื้อได้ หากคันมาก ให้ใช้ครีมไฮโดรคอร์ติโซนหรือคาลาไมน์ช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว
  • จัดการความเครียดและการพักผ่อน
    ลดความเครียดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพออาจกระตุ้นอาการได้
  • ลดการระคายเคืองขณะทำความสะอาด
    1. สระผมเบา ๆ หลีกเลี่ยงการเกาหนังศีรษะ
    2. ซับหน้าเบา ๆ แทนการถูแรง ๆ
    3. เวลาทายา ให้แตะเบา ๆ แทนการถูหรือนวดแรง ๆ
  • การดูแลทารกที่มีไขบนหนังศีรษะ (Cradle Cap)
    1. สระผมให้ทารกทุกวันด้วยแชมพูอ่อนโยนสำหรับเด็กและน้ำอุ่น
    2. หากแผ่นสะเก็ดรังแคแข็ง อาจใช้น้ำมันมะกอกถูให้นุ่ม แล้วค่อยๆ หวีออกด้วยแปรงเบาๆ
    3. หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษากุมารแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับแชมพูที่ใช้รักษา ไม่ควรลองใช้เอง เพราะอาจระคายเคืองผิวบอบบางของทารกได้

วิธีป้องกันโรคเซ็บเดิร์ม

การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยป้องกันและควบคุมอาการของเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) ได้

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    การพักผ่อนอย่างเต็มที่เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยรักษาสมดุลของร่างกายและภูมิคุ้มกัน
  • สระผมด้วยแชมพูยา
    ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของยาต้านเชื้อรา (เช่น คีโตโคนาโซล, ซีลีเนียม ซัลไฟด์) สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ตามคำแนะนำของ หมอผิวหนังหรือเภสัชกร
  • เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม
    เลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและมีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว (เป็นกรดอ่อน ๆ ) พร้อมหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือสารที่อาจระคายเคืองผิว
  • รักษาความสะอาดและเช็ดตัวให้แห้ง
    อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่และน้ำเปล่าอย่างสม่ำเสมอ และหลังจากอาบน้ำ ให้เช็ดตัวและบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดเซ็บเดิร์มให้แห้งสนิท เพื่อลดความอับชื้นและป้องกันการสะสมของคราบมันและเชื้อราบนผิวหนัง

คำถามที่พบได้บ่อย

เซ็บเดิร์ม หายเองได้ไหม

เซ็บเดิร์มจะไม่หายขาดเอง และมีแนวโน้มกลับเป็นซ้ำได้

เซ็บเดิร์มควรกินวิตามินอะไร

ควรเสริมวิตามินที่จำเป็น เช่น วิตามินบีรวม สังกะสี น้ำมันปลา วิตามินซี วิตามินอี และ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นอาการ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาหมอผิวหนัง

สรุป

เซ็บเดิร์มเป็นโรคผิวหนังที่ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีได้ เริ่มจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว รักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญคือ การจัดการความเครียด เพราะความเครียดเป็นตัวกระตุ้นสำคัญของโรคนี้

หากดูแลตัวเองแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือแย่ลงกว่าเดิม ควรปรึกษหมอผิวหนังผู้เชี่ยวชาญทันที เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม ลลิษาคลินิกพร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาเซ็บเดิร์มที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความรุนแรงของอาการของแต่ละคน เพื่อให้คนไข้กลับมามีผิวที่แข็งแรงและมั่นใจอีกครั้ง

แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลเซ็บเดิร์ม

mayoclinic. Seborrheic dermatitis – Symptoms and causes
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/seborrheic-dermatitis/symptoms-causes/syc-20352710

clevelandclinic. Seborrheic Dermatitis: What Is It, Diagnosis & Treatment
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/14403-seborrheic-dermatitis

dermnetnz. eborrheic dermatitis: Causes and treatment .Dr Nusrat Gaffoor Bholah
https://dermnetnz.org/topics/seborrhoeic-dermatitis

บทความโดย

ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว

ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ทุกสาขา