คลินิกรักษาสิว โดยแพทย์โรคผิวหนังโดยเฉพาะ
หน้าแรก / Skin diseases / โรคผิวหนัง มีอะไรบ้าง? แต่ละโรคเกิดจากอะไร มีวิธีรักษาอย่างไร
โรคผิวหนัง มีอะไรบ้าง? แต่ละโรคเกิดจากอะไร มีวิธีรักษาอย่างไร

คนไข้หลาย ๆ คนคงรู้แล้วว่าโรคผิวหนังมีเยอะแยะมากมาย และแต่ละชนิดก็มีสาเหตุและอาการที่แตกต่างกันไป แล้วโรคผิวหนังมีอะไรบ้าง? บางโรคก็พบบ่อยจนเจอได้ในคนทุกเพศทุกวัยเลย แต่ความรุนแรงหรืออาการที่แสดงออกในแต่ละคนก็อาจไม่เหมือนกัน
บทความนี้หมอตาลจะพาไปสำรวจโรคผิวหนังที่พบบ่อย และอธิบายถึงสาเหตุหลักของการเกิดโรคแต่ละประเภท เพื่อให้คุณมีความเข้าใจ และสามารถป้องกัน พร้อมวิธีรักษาได้
สารบัญเนื้อหา
Toggleโรคผิวหนัง มีอะไรบ้าง
โรคผิวหนังได้หลายรูปแบบ ซึ่งโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย หมอได้รวมคำตอบมาไว้ ดังนี้
1. สิว


- สาเหตุของการเกิดสิว
สิวเกิดจากรูขุมขนของเราอุดตันจากน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว บางครั้งต่อมไขมันก็ผลิตน้ำมันเยอะเกินไป ฮอร์โมนเปลี่ยน หรือแบคทีเรียชื่อ P. acnes
- วิธีการรักษาสิว
การรักษาสิวมีหลายวิธี เริ่มต้นง่าย ๆ ก็คือ ล้างหน้าให้สะอาดแบบเบามือ จากนั้นก็อาจจะใช้ยาทา อย่างกรดเรติโนอิก หรือเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ช่วยเสริม แต่ถ้าเป็นเยอะจริง ๆ หมออาจจะแนะนำให้กินยา หรือทำเลเซอร์
- กลุ่มเสี่ยง
วัยรุ่นที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน หรือคนที่มีผิวมันมาก ๆ รวมถึงคนที่คนในครอบครัวเคยเป็นสิว มาก่อน กลุ่มนี้จะเสี่ยงเป็นสิวได้ง่ายกว่าคนกลุ่มอื่น
2. โรคผิวหนังอักเสบจากการแพ้สัมผัส
- สาเหตุของการเกิดโรคผิวหนังอักเสบจากการแพ้สัมผัส
สาเหตุหลัก ๆ เลยคือ ผิวเราไปเจอเข้ากับสิ่งที่แพ้หรือระคายเคืองโดยตรง เช่น สารเคมีบางอย่าง, น้ำหอม, โลหะ หรือแม้แต่พืชบางชนิด ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเราก็จะทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นมานั่นเอง
- วิธีการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากการแพ้สัมผัส
หลีกเลี่ยงสิ่งที่ผิวหนังแพ้ ถ้าเลี่ยงได้ อาการก็จะดีขึ้นเอง ส่วนใหญ่หมอจะให้ใช้ ยาทากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบ คัน แดง แต่ถ้าเป็นเยอะมาก ๆ อาจจะต้องมียากินช่วยด้วย
3. โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)



- สาเหตุของการเกิดโรคสะเก็ดเงิน
โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วเกินไป ปกติเซลล์ผิวจะใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะผลัดตัว แต่ของคนเป็นสะเก็ดเงินนี่แค่ไม่กี่วันก็ผลัดแล้ว เลยกลายเป็นผื่นหนา ๆ ที่เห็นกันนั่นเอง
- วิธีรักษาโรคสะเก็ดเงิน
การรักษาสะเก็ดเงินมีหลายวิธี ตั้งแต่การใช้ยาทาอย่างคอร์ติโคสเตียรอยด์ หรือวิตามินดีชนิดทา เพื่อช่วยควบคุมอาการ แต่ถ้าเป็นหนัก ๆ หมออาจจะต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือแสงบำบัดเข้ามาช่วยด้วย
- กลุ่มเสี่ยงโรคสะเก็ดเงิน
ถ้าคนในครอบครัวมีประวัติเป็นสะเก็ดเงิน คุณก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าคนอื่น นอกจากนี้ ความเครียด หรือการติดเชื้อบางอย่าง ก็สามารถกระตุ้นให้อาการของโรคกำเริบขึ้นมาได้เหมือนกัน
4. โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
- สาเหตุของการเกิดโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
ภูมิคุ้มกันที่ค่อนข้างไวต่อสิ่งต่าง ๆ และสภาพแวดล้อมบางอย่าง ทำให้ผิวของเราแห้งง่าย และเกิดการอักเสบได้บ่อยกว่าปกติ
- วิธีการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
สิ่งสำคัญคือต้องบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอด้วยครีมบำรุงผิว นอกจากนี้ หมออาจจะให้ใช้ยาทาสเตียรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบ และที่สำคัญมาก ๆ คือต้องพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เพื่อไม่ให้อาการกำเริบขึ้นมาอีก
- กลุ่มเสี่ยงโรคสะเก็ดเงิน
เด็ก ๆ จะพบโรคนี้ได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่ และคนที่มีประวัติภูมิแพ้ส่วนตัว หรือมีคนในครอบครัวเป็นภูมิแพ้ชนิดอื่น ๆ เช่น หอบหืด หรือแพ้อากาศ ก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
5. โรคด่างขาว


- สาเหตุของการเกิดโรคด่างขาว
ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ไปทำลายเซลล์ที่สร้างเม็ดสีในผิวหนัง ทำให้ผิวบริเวณนั้น ๆ ไม่มีสี และกลายเป็นจุดด่างขาวอย่างที่เห็น
- วิธีการรักษาโรคด่างขาว
การรักษาโรคด่างขาวมีหลายวิธี ตั้งแต่การใช้ยาทา กลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ หรือยากดภูมิคุ้มกันบางชนิด นอกจากนี้ ยังมีการทำแสงบำบัด เพื่อกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีกลับมาทำงาน และที่สำคัญคือต้องป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างถูกวิธีด้วย
- กลุ่มเสี่ยงโรคด่างขาว
ถ้าคนในครอบครัว มีประวัติเป็นโรคด่างขาว หรือมีโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ ก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป
6. โรคงูสวัด
- สาเหตุของการเกิดโรคงูสวัด
งูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสตัวร้ายชื่อ Herpes Varicella Zoster ที่ทำให้เป็นอีสุกอีใส รวมถึงภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอลง
- วิธีการรักษาโรคงูสวัด
การกินยาต้านไวรัสภายใน 48 ชั่วโมงแรกที่เริ่มมีผื่น จะช่วยลดความรุนแรงและทำให้หายเร็วขึ้น นอกจากนี้ก็จะมียาแก้ปวด ช่วยบรรเทาอาการแสบร้อน และยาทา เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ถ้าอาการหนักมากหมออาจจะต้องให้ยาฉีด หรือถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล
- กลุ่มเสี่ยงโรคงูสวัด
ผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไป และคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง, เอดส์ หรือคนที่กินยากดภูมิฯ รวมถึงคนที่เคยปลูกถ่ายอวัยวะ, พักผ่อนน้อย, เครียดจัด หรือมีโรคประจำตัว, คนที่ต้องกินยาสเตียรอยด์นาน ๆ หรือกำลังทำเคมีบำบัด
7. โรคลมพิษ
- สาเหตุของการเกิดโรคลมพิษ
ลมพิษเกิดจากผิวหนังตอบสนองผิดปกติต่อสิ่งกระตุ้นบางอย่าง เช่น อาหารบางชนิด, ยา, แมลงกัด, สารเคมี หรือแม้แต่อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ความเครียด หรือภูมิคุ้มกันร่างกายที่ผิดปกติก็กระตุ้นให้เกิดลมพิษได้เหมือนกัน
- วิธีการรักษาโรคลมพิษ
พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่เราคิดว่าแพ้ หรือเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดลมพิษ ส่วนใหญ่หมอจะให้กินยาแก้แพ้ เพื่อลดอาการคันและผื่น แต่ถ้าอาการหนักจริง ๆ อาจจะต้องใช้ยาทาสเตียรอยด์ หรือในบางรายที่เรื้อรัง อาจจะต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือรับการรักษาแบบพิเศษเลย
- กลุ่มเสี่ยงโรคลมพิษ
คนที่มีประวัติเป็นภูมิแพ้และโรคประจำตัวเรื้อรังอยู่แล้ว รวมถึงคนที่สัมผัสกับสารเคมี หรือกินอาหารบางชนิดที่กระตุ้นให้เกิดลมพิษบ่อย ๆ
8. ผมร่วง


- สาเหตุของการเกิดผมร่วง
ผมร่วงมีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ที่ส่งต่อกันมาในครอบครัว, ความเครียดที่สะสม, ฮอร์โมนที่แปรปรวน, ขาดสารอาหาร, หรือแม้แต่ภูมิแพ้และโรคผิวหนังบางชนิด เช่น ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ก็ทำให้ผมร่วงได้เหมือนกัน
- วิธีการรักษาผมร่วง
สิ่งแรกที่ทำได้คือ ปรับพฤติกรรมลองหาทางลดความเครียด ดูแลเรื่องอาหารการกินให้ครบ 5 หมู่ หรือในบางกรณี หมออาจจะแนะนำให้ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาไมนอกซิดิล (Minoxidil) แต่ถ้าผมร่วงหนักมากจริง ๆ จนแสกกว้าง หรือหัวล้านเป็นหย่อม ๆ การปลูกผมก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ
- กลุ่มเสี่ยงที่ผมจะร่วง
คนที่คนในครอบครัวมีประวัติผมร่วงมาก่อน และคนที่อยู่ในช่วงวัยกลางคน รวมถึงคนที่มีความเครียดสูง หรือมีปัญหาสุขภาพ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผมร่วง
9. โรคผิวหนังอักเสบจากสารพิษของแมลงก้นกระดก
- สาเหตุของการเกิดโรคผิวหนังอักเสบจากสารพิษของแมลงก้นกระดก
ผื่นแพ้แมลงก้นกระดกเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ แค่ผิวเราไปโดนสารพิษที่มันปล่อยออกมาเท่านั้นเอง พอโดนปุ๊บ ผิวก็จะมีอาการอักเสบ แดง คัน แล้วก็ขึ้นเป็นผื่นทันที
- วิธีการรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากสารพิษของแมลงก้นกระดก
ถ้าเผลอไปโดน สิ่งแรกที่ต้องทำคือรีบล้างบริเวณที่สัมผัสให้สะอาดด้วยน้ำเปล่า จากนั้นก็ไปพบคุณหมอเพื่อรับยามาทาแก้แพ้และลดอาการคัน ถ้าอาการหนักมาก ๆ คุณหมออาจพิจารณาให้ยาแบบกินร่วมด้วย
- กลุ่มเสี่ยงโรคผิวหนังอักเสบจากสารพิษของแมลงก้นกระดก
ส่วนใหญ่คนที่ทำงาน หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งในพื้นที่ที่มีแมลงก้นกระดกเยอะ ๆ อย่างเช่น เกษตรกร หรือคนที่ชอบเดินป่า ตั้งแคมป์ ก็มีโอกาสเจอแมลงก้นกระดกได้ง่ายกว่าคนอื่น
10. โรคเกลื้อน
- สาเหตุของการเกิดโรคเกลื้อน
โรคเกลื้อนเกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า Pityrosporum (หรือ Malassezia) ซึ่งปกติแล้วมันก็อยู่บนผิว แต่พอเจอเข้ากับอากาศร้อนชื้น เหงื่อออกเยอะ ผิวมัน หรือภูมิคุ้มกันร่างกายเราอ่อนแอลง เชื้อราก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นมาจนเกิดเป็นผื่นเกลื้อนนั่นเอง
- วิธีการรักษาโรคเกลื้อน
ถ้าเป็นเกลื้อน ส่วนใหญ่หมอจะให้ยาทาต้านเชื้อรา กลุ่มเอโซลมาทา เช่น โคลไตรมาโซล หรือคีโตโคนาโซล แต่ถ้าเป็นเยอะหรือเป็นบริเวณกว้าง คุณหมอก็อาจจะพิจารณาให้ยาต้านเชื้อราแบบกินร่วมด้วย นอกจากนี้ การดูแลผิวให้สะอาด แห้ง ไม่อับชื้น และใช้แชมพูต้านเชื้อรา ถูบริเวณที่เป็น แล้วอาบน้ำให้สะอาด ก็ช่วยให้อาการดีขึ้นได้เยอะ
- กลุ่มเสี่ยงโรคเกลื้อน
คนที่อยู่ในสภาพอากาศร้อนชื้น มีผิวมัน หรือเหงื่อออกมาก รวมถึงคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง จะเป็นเกลื้อนได้ง่ายกว่าคนอื่น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และผู้ใหญ่ตอนต้น ที่ชอบใส่เสื้อผ้าอับชื้นนาน ๆ ก็ต้องระวังเป็นพิเศษ
11. โรคกลาก
- สาเหตุของการเกิดโรคกลาก
โรคกลาก เกิดจากเชื้อรากลุ่มเดอมาทอฟไทท์ (Dermatophytes) ซึ่งเป็นเชื้อราที่ชอบอาศัยอยู่บนผิวหนัง ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ง่าย ๆ แค่เราไปสัมผัสกับคนที่เป็นกลาก หรือไปใช้ของร่วมกับเขา เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า ก็ติดได้แล้ว
- วิธีการรักษาโรคกลาก
ถ้าคุณเป็นกลาก ส่วนใหญ่คุณหมอจะแนะนำให้ใช้ยาทาต้านเชื้อราอย่างโคลไตรมาโซล หรือคีโตโคนาโซล แต่ถ้าเป็นเยอะมาก ๆ หรือใช้ยาแล้วไม่หายสักที คุณหมอก็อาจจะพิจารณาให้ยากินร่วมด้วย ที่สำคัญคือต้องรักษาความสะอาดของผิวหนังและข้าวของส่วนตัว เพื่อไม่ให้เชื้อรามันลามไปที่อื่น
- กลุ่มเสี่ยงโรคกลาก
คนที่เหงื่อออกมาก หรือชอบใส่เสื้อผ้าที่อับชื้น หรือใช้ของร่วมกับคนที่เป็นกลากบ่อย ๆ ก็มีโอกาสเป็นกลากได้ง่ายกว่าคนอื่น โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเรา นอกจากนี้ เด็ก ๆ และผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ก็จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเช่นกัน
12. โรคเริมที่ผิวหนัง
- สาเหตุของการเกิดโรคเริมที่ผิวหนัง
โรคเริมที่ผิวหนัง เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งไวรัสจะแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง หรือตุ่มน้ำของคนที่ติดเชื้อ พอโดนผิวเราก็อาจจะเริ่มมีอาการแสบ ๆ คัน ๆ แล้วก็มีตุ่มน้ำใส ๆ ขึ้นมา
- วิธีการรักษาโรคเริมที่ผิวหนัง
คุณหมอจะให้ยาต้านไวรัสทั้งแบบทาหรือแบบกิน อย่างเช่น ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) มาช่วยบรรเทาอาการและยับยั้งการกระจายตัวของเชื้อ นอกจากนี้ ก็จะมีการรักษาเพื่อช่วยลดอาการคัน ปวด และป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
- กลุ่มเสี่ยงโรคเริมที่ผิวหนัง
กลุ่มคนที่เคยติดเชื้อไวรัสเริมมาแล้ว หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ รวมถึงคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ก็มีโอกาสเป็นเริมได้ง่ายกว่าคนอื่น
13. โรคหิด
- สาเหตุของการเกิดโรคหิด
โรคหิดเกิดจากตัวไรที่ชื่อว่า Sarcoptes scabiei ที่ชอนไชเข้าไปในผิวหนัง ทำให้เกิดอาการคัน โดยเฉพาะตอนกลางคืนจะคันหนักมาก
- วิธีการรักษาโรคหิด
คุณหมอจะให้ยาทาฆ่าเชื้อหิด อย่างเช่น ยาเพอร์เมทริน (Permethrin) หรือครีมอื่น ๆ มาทา ที่สำคัญคือต้องทำความสะอาดเสื้อผ้า เครื่องนอน และของใช้ส่วนตัวให้หมดจด เพื่อกำจัดตัวไรที่อาจหลงเหลืออยู่ และที่สำคัญอีกอย่างคือ ควรให้คนในครอบครัวได้รับการรักษาไปพร้อม ๆ กันด้วย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อซ้ำไปซ้ำมา
- กลุ่มเสี่ยงโรคหิด
คนที่อยู่ในที่อยู่อาศัยแออัดอย่างเช่น หอพัก หรือโรงเรียน จะมีโอกาสติดหิดได้ง่ายกว่าปกติ รวมถึงคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยหิดก็เสี่ยงที่จะรับเชื้อได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น การรักษาสุขอนามัยและความสะอาดจึงสำคัญมาก
14. หูด
- สาเหตุของการเกิดหูด
หูดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Human Papillomavirus (HPV) จะทำให้เกิดตุ่มเนื้อเล็ก ๆ ขึ้นมาบนผิวหนังของเรา
- วิธีการรักษาหูด
ถ้าเป็นหูด มีหลายวิธีให้คุณหมอเลือกใช้ในการรักษา หลัก ๆ ก็คือการ แช่แข็ง (Cryotherapy) เพื่อให้หูดหลุดลอกออกไป หรือใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก ซึ่งช่วยกัดกร่อนหูดให้ค่อย ๆ หลุดออกไป แต่ถ้าเป็นหูดเยอะมาก ๆ หรือเป็นในตำแหน่งที่ยากต่อการรักษา คุณหมอก็อาจจะพิจารณาผ่าตัด หรือใช้วิธีลอกหูดออกไปเลย
- กลุ่มเสี่ยงหูด
คนที่ภูมิคุ้มกันต่ำ จะมีโอกาสเป็นหูดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ คนที่สัมผัสเชื้อโดยตรง เช่น การจับมือกับคนที่เป็นหูด หรือเด็กและวัยรุ่น ที่ใช้ของร่วมกับเพื่อน ๆ เช่น ของเล่น หรืออุปกรณ์กีฬา ก็เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อ HPV และเป็นหูดได้ง่ายเช่นกัน
15. รังแค


- สาเหตุของการเกิดรังแค
รังแค คือ สะเก็ดผิวหนังที่หลุดลอกออกมาจากหนังศีรษะ เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อรากลุ่ม Malassezia ที่อยู่บนหนังศีรษะของเรามากเกินไป หรือบางทีก็เกิดจากการที่หนังศีรษะเราอักเสบ หรือแห้งเกินไปนั่นเอง
- วิธีการรักษารังแค
แชมพูรักษารังแค ที่มีส่วนผสมของยาต้านเชื้อรา อย่างคีโตโคนาโซล หรือเซเลเนียมซัลไฟด์ นอกจากนี้ การรักษาความสะอาดของหนังศีรษะและพยายาม หลีกเลี่ยงการเกาแรง ๆ ก็ช่วยลดปัญหารังแคได้
- กลุ่มเสี่ยงที่เกิดรังแค
คนที่หนังศีรษะแห้งหรือมันเกินไป จะมีปัญหารังแคได้ง่าย รวมถึงคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ไม่เหมาะกับตัวเอง หรือมีโรคผิวหนังที่หนังศีรษะอยู่แล้ว เช่น ผิวหนังอักเสบ ก็เป็นรังแคได้ง่ายเช่นกัน แถมความเครียดหรือภูมิคุ้มกันต่ำก็เป็นปัจจัยที่ทำให้รังแคกำเริบได้ด้วย
ทำความรู้จัก! โรคผิวหนัง มากขึ้น

โรคผิวหนัง คือภาวะที่ผิวเกิดความผิดปกติ อาการที่เกิดขึ้นก็มีได้หลายแบบ ทั้งผื่นแดง คัน แสบร้อน ผิวแห้งลอก เป็นตุ่มใส หรือมีรอยแผลต่าง ๆ ที่ผิวหนัง อาการนี้อาจจะเป็นชั่วคราว แล้วก็หายไป หรือบางทีก็เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังก็ได้
โรคผิวหนังเองก็มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิด เช่น ถ้าเกิดจากการอักเสบก็เรียกโรคผิวหนังอักเสบ หรือถ้าเกิดจากการติดเชื้อ ก็เป็นโรคผิวหนังจากการติดเชื้อ นอกจากนี้ก็ยังมีโรคผิวหนังที่เกิดจากสารเคมี หรือจากพันธุกรรม และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราด้วย
โรคผิวหนัง มีทั้งหมดกี่ชนิด? อะไรบ้าง
โรคผิวหนังที่เจอกันบ่อย ๆ สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันของร่างกาย: เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของเราทำงานผิดปกติไปหน่อย เช่น ผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ หรือผื่นแพ้สัมผัส
- กลุ่มที่มาจากการติดเชื้อ: เกิดจากพวกไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อราต่าง ๆ เช่น งูสวัด, หูด, กลาก, หรือเกลื้อน นั่นเอง
- กลุ่มที่เกิดจากแสงแดด: แสงแดดแรง ๆ สามารถทำให้ผิวเราผิดปกติไปจนถึงขั้นเป็นมะเร็งผิวหนัง
- กลุ่มที่เกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ: เป็นปัญหาที่เกิดบนศีรษะ อย่างเช่น รังแค ที่ทำให้คันหัวยิบ ๆ หรือผื่นผิวหนังอักเสบที่หนังศีรษะ
สรุปได้ว่าโรคผิวหนัง สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ตามสาเหตุและลักษณะของโรคครับ การที่เราเข้าใจกลุ่มเหล่านี้จะช่วยให้เราดูแลและรักษาปัญหาผิวได้อย่างถูกจุดและเหมาะสมที่สุดนั่นเอง
ข้อพิจารณาในการเลือกรักษาโรคผิวหนัง ที่ไหนดี

การจะเลือกวิธีรักษาโรคผิวหนังให้ได้ผลดีและเหมาะกับตัวเรานั้น ต้องพิจารณาหลาย ๆ อย่าง เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพที่สุด มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1. สังเกตอาการว่าเป็นโรคอะไรและอาการหนักแค่ไหน
อันดับแรกเลยต้องรู้ก่อนว่าเราเป็นโรคผิวหนังชนิดไหน และอาการรุนแรงแค่ไหน เพราะการรักษาจะแตกต่างกันไป เช่น บางคนอาจจะแค่ใช้ยาทา บางคนอาจจะต้องกินยา หรือในบางกรณีที่ซับซ้อนขึ้น อาจจะต้องใช้การฉายแสง หรือเลเซอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องให้คุณหมอเป็นคนวินิจฉัยและแนะนำ
2. เลือกโรงพยาบาลหรือคลินิก
เรื่องของสิทธิ์การรักษาและระบบการชำระเงินก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรเลือกสถานพยาบาลที่เราสามารถใช้สิทธิ์ที่มีได้ และมีบริการครบวงจร ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยไปจนถึงการติดตามผล เพื่อความสะดวกของเราเอง
3. พิจารณาแพทย์และเทคโนโลยี
การได้รักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางผิวหนัง และในสถานพยาบาลที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย เช่น เลเซอร์ Excimer หรือเครื่องฉายแสง จะช่วยให้การรักษาแม่นยำและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเยอะ
4. ปรับการรักษาให้เข้ากับตัวเอง
การพิจารณาปัจจัยส่วนตัวของเรา เช่น อายุ ภูมิแพ้ โรคประจำตัว และพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึง สภาพผิวของเราด้วย เพื่อให้คุณหมอสามารถปรับวิธีการรักษาและเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมและปลอดภัยกับเรามากที่สุด
การเลือกสถานที่รักษาโรคผิวหนังควรคำนึงถึงชนิดโรคและความรุนแรง ความพร้อมของแพทย์และเทคโนโลยี รวมถึงความสะดวกในการเข้ารักษาเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
สรุป
โรคผิวหนังมีหลายแบบ แต่ละโรคก็มีสาเหตุและการรักษาที่ไม่เหมือนกันเ ไม่ว่าจะเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ, การอักเสบ หรือแม้แต่ปัญหาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราเอง ดังนั้น การจะวินิจฉัยให้ถูกและรักษาให้หายขาดได้ต้องปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การเลือกสถานพยาบาลที่มีคุณหมอผิวหนังโดยเฉพาะ และมีเครื่องมือที่ทันสมัย จะช่วยให้การรักษาของเราแม่นยำและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ถ้ากำลังมีปัญหาผิวหนังอยู่ ไม่ต้องกังวลใจ ลลิษาคลินิก พร้อมดูแลคุณด้วยทีมแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้คุณได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและปลอดภัย
แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลโรคผิวหนัง
clevelandclinic. Skin Diseases: Types of, Symptoms, Treatment & Prevention
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/21573-skin-diseases
healthline. Medically reviewed by Joan Paul, MD, MPH, DTMH. Written by Katherine Brind’Amour and Rachael Ajmera, MS, RD. February 14, 2024. Skin Disorders: Pictures, Causes, Symptoms, and Treatment.
https://www.healthline.com/health/skin-disorders
บทความโดย
ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว
ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ทุกสาขา