โรคสะเก็ดเงิน เกิดจากอะไร? อาการเป็นยังไง และควรรักษาอย่างไร

โรคสะเก็ดเงิน สาเหตุ อาการ การรักษา

โรคสะเก็ดเงินหนึ่งในโรคผิวหนังเรื้อรังที่พบได้บ่อยมาก ๆ ทั่วโลก ชนิดที่ว่าใน 100 คน เราจะเจอ คนไข้โรคนี้ได้อย่างน้อย 1 คนเลยทีเดียว แล้วโรคสะเก็ดเงินติดต่อทางไหน? แม้ว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) จะจัดให้โรคนี้เป็นโรคที่ไม่ติดต่อ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโรคสะเก็ดเงินส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนไข้ไม่น้อยเลย และถึงแม้ปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็มีหลากหลายแนวทางที่ช่วยบรรเทาอาการและทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้

บทความนี้หมอตาลจะพาคนไข้ไปทำความเข้าใจโรคสะเก็ดเงินให้ลึกซึ้งขึ้น ทั้งสาเหตุ อาการ และแนวทางการดูแลรักษา เพื่อให้รับมือกับโรคนี้ได้อย่างมั่นใจ

โรคสะเก็ดเงิน คืออะไร

โรคสะเก็ดเงิน คือ

โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) คือโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของเราทำงานผิดปกติไปทำลายเซลล์ผิวหนังตัวเอง ทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบอย่างรวดเร็วและผิดปกติจนกลายเป็นผื่นแดง แห้ง คัน

สาเหตุโรคสะเก็ดเงินเกิดจากอะไร

สาเหตุโรคสะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงิน เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถกระตุ้น หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสะเก็ดเงินได้อีกด้วย ได้แก่

  • พันธุกรรม สะเก็ดเงินเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมอย่างมาก โดยพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของคนไข้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้เช่นกัน
  • สิ่งแวดล้อม ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมบางอย่าง เช่น สภาพอากาศที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด การสัมผัสแสงแดดจัดเป็นเวลานาน หรือการถูกแมลงสัตว์กัดต่อย ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคสะเก็ดเงินได้
  • การติดเชื้อ การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไรโนไวรัส (Rhinoviruses), เชื้อเอชไอวี (HIV), เชื้อเอชพีวี (HPV) และไวรัสตับอักเสบซี (HCV) รวมถึงการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น สเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเจ็บคอหรือต่อมทอนซิลอักเสบ ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคสะเก็ดเงินได้
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดโรคสะเก็ดเงินได้
  • ความเครียด ความเครียดเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถกระตุ้น หรือทำให้อาการของสะเก็ดเงินแย่ลงได้
  • ยาบางชนิด ยาบางประเภท เช่น ยาเบต้า บล็อกเกอร์ (Beta-blockers) ที่ใช้รักษาโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง หรือยาลิเทียม (Lithium) ที่ใช้รักษาโรคทางจิตเวช สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคสะเก็ดเงินได้
  • การบาดเจ็บที่ผิวหนัง การได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นแผล ถลอก หรือแม้แต่การอักเสบหลังการผ่าตัด ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดผื่นสะเก็ดเงินในบริเวณนั้นได้เช่นกัน

ลักษณะอาการของโรคสะเก็ดเงิน

สะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่แสดงอาการได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค อย่างไรก็ตาม การเข้าใจลักษณะอาการในแต่ละระยะจะช่วยให้ดูแลและควบคุมโรคได้ดีขึ้น โดยมีลักษณะดังนี้

โรคสะเก็ดเงิน อาการเริ่มแรก

โรคสะเก็ดเงิน อาการเริ่มแรก

อาการเริ่มต้นของโรคสะเก็ดเงินจะสังเกตเห็นได้จาก ผื่นแดงนูนหนา มีขอบเขตชัดเจน ผิวบริเวณที่เป็นผื่นจะแห้ง คัน และมีลักษณะเด่นคือ ตกสะเก็ดเป็นสีเงิน ผื่นเหล่านี้อาจปรากฏเพียงจุดเดียวหรือหลายจุดพร้อมกันทั่วร่างกาย บริเวณที่พบบ่อยได้แก่ ข้อศอก หัวเข่า หน้าแข้ง และ หนังศีรษะ นอกจากนี้ ในบางรายอาจมีอาการที่เล็บร่วมด้วย เช่น เล็บหนา เล็บร่อน หรือ มีหลุมเล็ก ๆ บนเล็บ และอาจมีอาการปวดข้อร่วมด้วยได้

โรคสะเก็ดเงิน ระยะกำเริบ

โรคสะเก็ดเงิน อาการระยะกำเริบ

ระยะกำเริบ คือช่วงที่อาการของโรคสะเก็ดเงินแย่ลงหรือทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผื่นแดงนูนจะ ขยายวงกว้างขึ้น มี สะเก็ดหนาขึ้น และมีอาการ คันมากขึ้น คนไข้บางรายอาจรู้สึก แสบร้อนหรือเจ็บบริเวณผิวหนังที่เป็นผื่น และในกรณีที่รุนแรง ผื่นอาจแตกจนมีเลือดออกหรือเกิดแผลได้ ปัจจัยหลายอย่างสามารถกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ เช่น ความเครียด การติดเชื้อ การบาดเจ็บที่ผิวหนัง การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล หรือการใช้ยาบางชนิด

โรคสะเก็ดเงิน ระยะคงตัว

โรคสะเก็ดเงิน ระยะทรงตัว

เมื่อเข้าสู่ระยะคงตัว อาการของโรคสะเก็ดเงินจะทรงตัว ไม่มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว ผื่นและสะเก็ดยังคงอยู่ แต่จะไม่ลุกลาม หรือรุนแรงขึ้น คนไข้อาจยังคงรู้สึกคันหรือระคายเคืองบ้าง แต่โดยรวมแล้วอาการจะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ระยะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อคนไข้ได้รับการรักษาหรือสามารถควบคุมปัจจัยกระตุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โรคสะเก็ดเงิน ระยะทุเลา

โรคสะเก็ดเงินระยะ ทุเลา

ระยะทุเลา เป็นช่วงที่อาการของโรคสะเก็ดเงินดีขึ้นอย่างชัดเจน ผื่นแดงและสะเก็ดจะ ค่อย ๆ จางลง จนผิวหนังกลับมาใกล้เคียงปกติ อาการคันหรือระคายเคืองจะ ลดลงมากหรือหายไป เลยทีเดียว ระยะนี้อาจเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ หรือหลังจากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ โรคสะเก็ดเงินสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้เสมอ หากมีปัจจัยกระตุ้น

โรคสะเก็ดเงิน มีทั้งหมดกี่ประเภท? ประเภทใดบ้าง

ชนิดโรคสะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงินไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่มีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีลักษณะและตำแหน่งที่เกิดแตกต่างกันไป มาดูกันว่ามีแบบไหนบ้าง

  • สะเก็ดเงินชนิดผื่นหนา
    เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด ลักษณะจะเป็นผื่นแดง หนา ขอบชัดเจน มีขุยสีขาวหรือสีเงินปกคลุม จะขึ้นตามหนังศีรษะ ข้อศอก แขน หัวเข่า และส่วนล่างของหลัง รวมถึงบริเวณที่ผิวหนังเสียดสีกันบ่อย ๆ อย่างรักแร้ ใต้ราวนม หรือขาหนีบ
  • สะเก็ดเงินชนิดขนาดเล็ก
    จะเป็นผื่นแดงหรือตุ่มแดงเล็ก ๆ คล้ายหยดน้ำ (ไม่เกิน 1 เซนติเมตร) มีขุยขาว ๆ กระจายอยู่ตามตัว แขน ขา และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย และจะเกิดหลังจากมีการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบนมาก่อน เช่น เจ็บคอ
  • สะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง
    จะมีตุ่มหนองเล็ก ๆ สีแดง บวม กระจายอยู่ทั่วผิวหนัง ทั้งลำตัว แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือใต้เล็บ อาจมีอาการคันและปวดแสบปวดร้อนร่วมด้วย ถ้าอาการกำเริบมาก ๆ อาจมีไข้ขึ้นได้
  • สะเก็ดเงินชนิดผื่นแดงลอกทั้งตัว
    เป็นชนิดที่รุนแรงมาก ผื่นแดง คัน และลอกเป็นขุยขาวจะกระจายไปทั่วร่างกายมากกว่า 90% อาจเป็นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังก็ได้ บางคนอาจเริ่มต้นจากสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนาก่อน แล้วค่อยลามไปทั่วตัว อาจมีตุ่มหนอง อ่อนเพลีย และไข้สูงร่วมด้วย
  • สะเก็ดเงินบริเวณซอกพับ (Inverse psoriasis)
    จะเป็นผื่นแดงเป็นหย่อม ๆ มักไม่ค่อยมีขุยมากนัก และจะขึ้นตามบริเวณซอกพับของร่างกายที่มีการเสียดสีและมีเหงื่อออกบ่อย ๆ เช่น ใต้ราวนม รักแร้ ขาหนีบ และร่องก้น
  • สะเก็ดเงินบริเวณมือเท้า (Palmoplantar psoriasis)
    ผื่นแดงขอบชัด มีขุยขาวและลอกเป็นขุย จะขึ้นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าเป็นหลัก บางครั้งอาจลามไปที่หลังมือหรือหลังเท้าได้ด้วย
  • เล็บสะเก็ดเงิน (Psoriatic nails)
    โรคสะเก็ดเงินชนิดนี้จะส่งผลกระทบต่อเล็บมือและเล็บเท้า ทำให้เล็บผิดรูป เล็บร่อน มีหลุมบนเล็บ เล็บหนาผิดปกติ
  • สะเก็ดเงินร่วมกับโรคเซ็บเดิร์ม (Sebopsoriasis)
    ลักษณะที่ผสมกันระหว่างโรคสะเก็ดเงินกับโรคเซ็บเดิร์ม (โรคผื่นแพ้ไขมัน) โดยจะมีตุ่มบนหนังศีรษะ ใบหน้า หู และหน้าอก ลอกออกเป็นขุยเหลือง ๆ ของคราบไขมัน

โรคสะเก็ดเงินสามารถเกิดขึ้นที่บริเวณใดได้บ้าง

โรคสะเก็ดเงินมักจะขึ้นบริเวณไหน

โรคสะเก็ดเงินสามารถเกิดขึ้นได้หลายบริเวณทั่วร่างกาย โดยแต่ละจุดอาจแสดงอาการ ดังนี้

บริเวณใบหน้าและหนังศีรษะ

โรคสะเก็ดเงินจะพบบ่อยบริเวณหนังศีรษะ โดยมีลักษณะเป็นผื่นแดง หนา มีขอบเขตชัดเจน และมีสะเก็ดสีขาวหรือสีเงินปกคลุม ผื่นอาจลามลงมายังหน้าผาก หลังหู หรือแม้กระทั่งบริเวณใบหน้า ซึ่งรวมถึงคิ้ว ขอบไรผม หรือรอบจมูกด้วย ผื่นในบริเวณนี้มักก่อให้เกิดความรำคาญใจอย่างมากและส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในบุคลิกภาพของคนไข้

บริเวณลำตัว

ผื่นสะเก็ดเงินสามารถเกิดขึ้นได้ที่ลำตัว เช่น แผ่นหลัง หน้าอก ท้อง และด้านข้างลำตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อยครั้ง เช่น ข้อศอก หัวเข่า และก้นกบ ลักษณะของผื่นจะเป็นผื่นแดงนูนหนา มีขอบเขตชัดเจน และมีขุยหรือสะเก็ดสีขาวปกคลุม ผื่นชนิดนี้อาจรวมตัวกันเป็นปื้นขนาดใหญ่ ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นแห้งและคันมาก

บริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย

นอกจากบริเวณที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว โรคสะเก็ดเงินยังสามารถเกิดขึ้นได้ที่ซอกพับต่าง ๆ เช่น รักแร้ ขาหนีบ ใต้ราวนม และร่องก้น ผื่นในบริเวณซอกพับมักมีลักษณะเรียบ แดง และจะไม่มีขุย เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ชื้น นอกจากนี้ยังอาจพบผื่นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซึ่งอาจมีลักษณะหนา แตก และเจ็บปวดได้ ส่วนที่เล็บ อาจพบอาการเล็บหนา เล็บร่อน หรือเล็บผิดรูปได้อีกด้วย ที่สำคัญคือ โรคนี้ยังอาจเกิดขึ้นที่อวัยวะเพศ และข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนไข้

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนของโรคสะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงินมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้ ภาวะเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผิวหนัง แต่ยังอาจส่งผลต่อระบบอื่น ๆ ในร่างกายด้วย ตัวอย่างภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic Arthritis) เป็นภาวะที่ทำให้มีอาการปวด บวม และตึงตามข้อต่อ โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสันหลัง ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า
  • สีผิวเปลี่ยน (Temporary Skin Color Changes) ผิวหนังบริเวณที่เคยมีผื่นอาจมีสีคล้ำขึ้นหรือจางลงชั่วคราว
  • โรคที่เกี่ยวข้องกับดวงตา เช่น โรคตาแดง, ม่านตาอักเสบ, เปลือกตาอักเสบ
  • โรคอ้วน พบได้บ่อยใน และอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้
  • เบาหวานประเภทที่ 2 (Type 2 Diabetes) ความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานประเภท 2 เพิ่มขึ้นในคนไข้
  • ความดันโลหิตสูง (High Blood Pressure) เป็นภาวะที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คนไข้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเหล่านี้
  • กลุ่มโรคแพ้ภูมิตัวเอง เช่น โรคเซลิแอค, โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือ โรคโครห์น
  • โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้าซึ่งเป็นผลมาจากผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและรูปลักษณ์ภายนอก

โรคสะเก็ดเงิน อันตรายไหม

โรคสะเก็ดเงิน อันตรายไหม

โรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อและโดยทั่วไปไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย จิตใจ และคุณภาพชีวิตของคนไข้ได้อย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นรุนแรงหรือไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

การวินิจฉัยโรคสะเก็ดเงิน แพทย์มีวิธีการอย่างไร?

เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคสะเก็ดเงิน หมอผิวหนังจะดำเนินการวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อยืนยันอาการและประเมินความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปแล้วหมอจะใช้วิธีการดังต่อไปนี้

การซักประวัติ (Medical History)

หมอจะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอาการอย่างละเอียด เช่น

  • ช่วงเวลาที่เริ่มมีอาการ ผื่นหรือตุ่มแดงเริ่มขึ้นเมื่อใด? อาการคันหรือแสบร้อนเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่?
  • ลักษณะอาการ ผิวหนังลอกเป็นขุยมากน้อยแค่ไหน?
  • ประวัติสุขภาพและยาที่ใช้ มีอาการเจ็บป่วยล่าสุดหรือไม่? กำลังใช้ยาอะไรอยู่ หรือเพิ่งหยุดใช้ยาอะไรไปบ้าง?
  • ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ใช้สบู่หรือแชมพูชนิดใดเป็นประจำ?
  • ประวัติครอบครัว มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคสะเก็ดเงินหรือไม่?
  • ปัจจัยกระตุ้น ความเครียด การพักผ่อน หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค

การตรวจร่างกาย (Physical Examination)

หมอจะทำการตรวจสภาพผิวหนังของคนไข้อย่างละเอียด รวมถึงหนังศีรษะและเล็บ เพื่อบันทึกตำแหน่ง ขนาด และลักษณะของผื่น รวมถึงลักษณะของขุยสะเก็ดเงินที่ลอกออก

การตัดชิ้นเนื้อผิวหนัง (Skin Biopsy)

ในบางกรณี หมออาจจำเป็นต้องตัดชิ้นเนื้อบริเวณผื่นสะเก็ดเงินเล็กน้อย เพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยาในห้องปฏิบัติการ การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะช่วยยืนยันการวินิจฉัย แยกโรคจากภาวะอื่น ๆ และระบุชนิดของโรคสะเก็ดเงินได้อย่างแม่นยำ

แชร์! วิธีการรักษาโรคสะเก็ดเงิน ในปัจจุบัน

การรักษาโรคสะเก็ดเงินมีเป้าหมายหลักคือ ควบคุมและยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังที่ผิดปกติ เพื่อลดการลอกและตกสะเก็ด โดยหมอจะพิจารณาจากชนิดและความรุนแรงของโรค รวมถึงอาการข้างเคียงอื่น ๆ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งอาจมีการใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ยาทาภายนอก (Topical Medications)

ยาทาภายนอกมักเป็นตัวเลือกแรกในการรักษาโรคสะเก็ดเงินระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยมีหลายประเภท

  1. ยาทากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ มีในรูปแบบแชมพู ครีม หรือโลชั่น ใช้ได้ดีกับผื่นบริเวณใบหน้าหรือซอกพับ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวบางลง หรือส่งผลต่อการทำงานของต่อมหมวกไตได้ การใช้ยานี้จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของหมอ
  2. ยาทากลุ่มอนุพันธ์วิตามิน D ช่วยให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวกลับสู่ภาวะปกติ และลดความหนาของผื่น ปัจจุบันมักใช้ร่วมกับยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ควรระมัดระวังปริมาณการใช้เพื่อป้องกันผิวบาง และต้องอยู่ในการดูแลของหมอ
  3. ยาที่มีส่วนผสมของน้ำมันทาร์ มีประสิทธิภาพดีและมีหลายรูปแบบ เช่น แชมพู ขี้ผึ้ง ครีม หรือโลชั่น ช่วยยับยั้งการสร้างเซลล์ผิวที่ผิดปกติ ลดอาการคันและอักเสบได้ดี แต่อาจมีกลิ่นแรงและทำให้ผิวระคายเคือง
  4. ยาทากลุ่มแอนทราลิน เนื้อครีมหรือกลุ่มน้ำมันทาร์ที่ใช้ทาบนผื่นสะเก็ดเงิน (ยกเว้นใบหน้าและอวัยวะเพศ) เพียงช่วงสั้น ๆ แล้วล้างออก ช่วยชะลอการสร้างเซลล์ผิวใหม่ กำจัดเซลล์ผิวเสีย และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ข้อควรระวังคืออาจทำให้ผิวระคายเคืองและสีผิวบริเวณที่ทาคล้ำขึ้น
  5. สารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ยาทาภายนอก ปราศจากน้ำหอม อ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว และมีความเสี่ยงต่ำต่อการแพ้ ช่วยลดอาการคัน แสบร้อน และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
  6. ยาทากลุ่ม Calcineurin Inhibitor เป็นยาใหม่ที่ช่วยให้ผื่นสงบลงและลดการก่อตัวของแผ่นสะเก็ดเงิน เหมาะสำหรับทาบริเวณผิวที่บอบบาง เช่น รอบดวงตา ใบหน้า หรือซอกพับ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เป็นเวลานานเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งผิวหนังหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และห้ามใช้ในผู้ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

การรักษาด้วยยาชนิดรับประทาน/ยาฉีด (Injected and Oral Medications)

ในกรณีที่ คนไข้ที่มีอาการของโรคสะเก็ดเงินระดับปานกลางถึงรุนแรง (เมื่อผื่นครอบคลุมพื้นที่ผิวหนังมากกว่า 10%) หรือไม่ตอบสนองต่อวิธีการรักษาแบบอื่น ๆ หมออาจพิจารณาการรักษาแบบผสมผสานด้วยยาชนิดรับประทานและยาฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

  1. ยาชนิดรับประทาน (Oral Medications) ได้แก่ ยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate), ยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) หรือยาอาซิเทรติน (Acitretin) มีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไป การใช้ยาจึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด
  2. ยาฉีดกลุ่มชีวโมเลกุล (Biologic Agents) เป็นยากลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์โดยการปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยยับยั้งวงจรการเกิดโรคสะเก็ดเงิน และจะเห็นผลการรักษาที่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์

การรักษาด้วยการฉายแสงอาทิตย์เทียม (UV Phototherapy)

หมอจะพิจารณาชนิดของแสงและวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับ คนไข้แต่ละราย ดังนี้

  • การฉายแสงยูวีบี (UVB Light Therapy) เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง โดยจะฉายแสง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อให้อาการของโรคดีขึ้น
  • การฉายรังสีอัลตราไวโอเลต เอ พูว่า (PUVA Therapy) สำหรับโรคสะเก็ดเงินระดับปานกลางถึงรุนแรงมาก การฉายแสง PUVA Therapy เป็นทางเลือกที่ใช้ร่วมกับการให้ยาเซอราเลน (Psoralen) ซึ่งเป็นยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น การรักษาจะทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน
  • การฉายแสง Excimer Light มีการกรองรังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็นอันตรายออกไป ทำให้ปลอดภัยต่อผิวหนัง ช่วยปรับสมดุลการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเพื่อรักษาโรคสะเก็ดเงิน

Tip พิเศษ ข้อควรปฏิบัติก่อนและหลังรักษา

  • แจ้งหมอ แจ้งประวัติสุขภาพและยาทุกชนิดที่กำลังรับประทานเพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยา
  • รักษาการติดเชื้อ หากมีการติดเชื้อ ควรจัดการให้หายขาดก่อนเริ่มการรักษา
  • สุขอนามัยเล็บ ตัดเล็บให้สั้นและสะอาดเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกา
  • การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หากได้รับยาฉีดหรือยากดภูมิคุ้มกัน ให้ปฏิบัติตามคำสั่งหมออย่างเคร่งครัด และห้ามซื้อยารับประทานเอง
  • ติดตามอาการ มาพบหมอตามนัดอย่างสม่ำเสมอ และรีบปรึกษาหมอหากมีอาการผิดปกติหรือแย่ลง

แนะนำการดูแลผิวเมื่อเป็นโรคสะเก็ดเงิน

การดูแลผิวด้วยการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ หลีกเลี่ยงการเกาและน้ำอุ่นจัด รวมถึงหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น สุรา, บุหรี่, อากาศแห้ง, แดดจัด และอาหารบางชนิด นอกจากนี้ การรักษาสุขภาพโดยรวมให้ดี ทั้งการควบคุมน้ำหนัก, ออกกำลังกาย, พักผ่อนให้เพียงพอ และการจัดการความเครียด ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

หมอแชร์! วิธีการป้องกันโรคสะเก็ดเงิน

วิธีป้องกันโรคสะเก็ดเงิน
  • ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันโรคสะเก็ดเงินที่แน่ชัด แต่การดูแลสุขภาพโดยรวมและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหรือการกำเริบของอาการได้
  • รักษาความสะอาดของผิว หมั่นทำความสะอาดผิวอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่กระตุ้นอาการ พยายามหลีกเลี่ยงอากาศแห้งและเย็นจัด ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง
  • ระมัดระวังการใช้ยา ปรึกษาหมอหรือเภสัชกรเกี่ยวกับยาบางชนิดที่อาจกระตุ้นการเกิดโรคสะเก็ดเงินได้
  • ปกป้องผิวจากบาดแผล พยายามป้องกันไม่ให้ผิวเกิดบาดแผลหรือการบาดเจ็บ ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อหรือกระตุ้นให้เกิดผื่นโรคสะเก็ดเงิน
  • รับแสงแดดในปริมาณที่เหมาะสม การได้รับแสงแดดในปริมาณพอเหมาะอาจช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดเกินไป
  • จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ การพักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียดจึงเป็นสิ่งสำคัญ

โรคสะเก็ดเงิน สามารถติดต่อกันได้ไหม?

โรคสะเก็ดเงินติดต่อกันได้ไหม

โรคสะเก็ดเงินไม่เป็นโรคติดต่อ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะติดจากผู้อื่นผ่านการสัมผัสกับตุ่มหรือผื่นผิวหนังของคนไข้โดยตรง

โรคสะเก็ดเงิน หายเองได้ไหม

โรคสะเก็ดเงินเป็นภาวะเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันและพันธุกรรม จึง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เอง อย่างไรก็ตาม คนไข้สามารถควบคุมอาการ และป้องกันการกำเริบซ้ำ ได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง

คำถามที่พบได้บ่อย (FAQs)

โรคสะเก็ดเงิน สามารถหายขาดได้หรือไม่?

โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคเรื้อรังที่ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดอย่างสมบูรณ์ แต่สามารถควบคุมอาการให้ทุเลาหรือสงบได้ด้วยการรักษาและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม

โรคสะเก็ดเงิน รักษาหายไหม?

แม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดอาการผื่นแดง คัน และสะเก็ด ทำให้อาการดีขึ้นและลดโอกาสการกำเริบของโรค

รักษาโรคสะเก็ดเงิน ด้วยวิธีธรรมชาติได้ไหม?

สามารถใช้วิธีธรรมชาติ เช่น การปรับพฤติกรรมการกินอาหาร การดูแลผิวหนัง และการลดความเครียดร่วมกับการรักษาทางการแพทย์ได้ แต่ไม่ควรทดแทนการรักษาที่หมอแนะนำโดยเด็ดขาด

โรคสะเก็ดเงินพบได้บ่อยแค่ไหน?

โรคสะเก็ดเงินพบได้ประมาณ 2-3% ของประชากรทั่วโลก และสามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัย แม้จะพบมากในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นถึงกลาง

โรคสะเก็ดเงิน ห้ามกิน อะไร?

อาหารห้ามกินเมื่อเป็นโรคสะเก็ดเงิน

อาหารแสลงของโรคสะเก็ดเงิน ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อาหารที่มีไขมันทรานส์สูง ของทอด ของมัน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด รวมถึงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะอาหารเหล่านี้อาจกระตุ้นการอักเสบและทำให้อาการสะเก็ดเงินกำเริบได้

โรคสะเก็ดเงิน กินอะไรได้บ้าง?

ควรกินอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น ผักและผลไม้สด ธัญพืชไม่ขัดสี ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ถั่วเปลือกแข็ง และอาหารที่มีโอเมกา-3 สูง รวมถึงดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยบำรุงผิวและลดอาการอักเสบ

สะเก็ดเงิน สามารถกินไข่ได้ไหม?

ไข่สามารถรับประทานได้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะไข่เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี แต่หากมีอาการแพ้หรือพบว่าไข่ทำให้อาการสะเก็ดเงินแย่ลง ควรหลีกเลี่ยงและปรึกษาหมอหรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพิ่มเติม

สรุป

โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่แม้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและจัดการอาการให้ดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาที่เหมาะสมต้องอาศัยการวินิจฉัยที่ถูกต้องและแผนการรักษาที่ปรับให้เข้ากับสภาพของคนไข้แต่ละราย ตั้งแต่การใช้ยาทาภายนอก ยารับประทาน ไปจนถึงการฉายแสงรักษา ควบคู่กับการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี

หากมีอาการที่น่าสงสัยหรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการรักษาโรคสะเก็ดเงิน ลลิษาคลินิก พร้อมให้บริการด้วยหมอผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำและแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไข้ เพราะเราเข้าใจว่าผิวหนังที่แข็งแรงคือพื้นฐานของความมั่นใจในชีวิต

แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับข้อมูลโรคสะเก็ดเงิน

mayoclinic. Psoriasis – Symptoms and causes
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/psoriasis/symptoms-causes/syc-20355840

nhs. Psoriasis
https://www.nhs.uk/conditions/psoriasis/

บทความโดย

ลลิษาคลินิก : คลินิกรักษาสิว ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง (ตจวิทยา) ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลปัญหาผิว

ใครที่กำลังเผชิญปัญหาผิวหน้า เป็นสิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์ด้านผิวหนังที่ลลิษาคลินิกได้ ฟรี!! ที่ตั้งคลินิก เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น 9 (ติดบันไดเลื่อน) และ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น 4